Introducing
Your new presentation assistant.
Refine, enhance, and tailor your content, source relevant images, and edit visuals quicker than ever before.
Trending searches
นโยบายการประกันความมั่นคงทางสังคมถูกประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1935 โดยประธานาธิบดี Franklin Roosevelt เป็นโครงการของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา ที่จัดการให้ประชาชนมีแหล่งรายได้และที่พึ่งพาอาศัยอยู่กับบุคคล เช่นคู่สมรส ลูก ผู้ปกครอง ซึ่งนโยบายการประกันความมั่นคงทางสังคมของสหรัฐอเมริกา เป็นสิทธิสวัสดิการที่ประชาชนจะได้รับซึ่งพลเรือนที่จะสามารถใช้สิทธิได้นั้นจะต้องมี หมายเลขประจำตัวในการประกันสังคมเพื่อที่จะได้ทำงา และเมื่อได้งานทำแล้ว ประชาชนจะต้องเสียภาษีที่เรียกว่า ภาษีประกันสังคม จากรายได้ภาษีดังกล่าวจะเข้ากองทุน เพื่อจ่ายผลประโยชน์ให้กับผู้เกษียณอายุในปัจจุบัน หรือจ่ายให้กับคู่สามี ภรรยาของผู้พิการ หรือจ่ายให้ลูกหรือคู่สมรสของผู้ที่ที่เหลืออยู่หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว
1. การประกันผู้สูงอายุ ผู้ยังมีชีวิตอยู่ในครอบครัวของผู้เสียชีวิตแล้ว และผู้พิการไร้ความสามารถ หรือ Old-Age , Survivors ,and Disability Insurance (OASDI)
2. การช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจนเป็นการชั่วคราว Temporary Assistance for Needy Families (TANF)
3. การประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ เรียกว่า Medicare หรือ Health Insurance for Aged and Disabled
4. เงินช่วยเหลืออุดหนุนของรัฐบาลกลางให้แก่มลรัฐต่างๆ เพื่อโครงการช่วยเหลือ ทางการแพทย์ให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เรียกว่า Medicaid หรือ Grants to State for Medical Assistance Programs for low income citizens
5. โครงการประกันรายได้เพิ่มเติมให้แก่ผู้มีรายได้น้อย Supplemental Security Income SSI
ประกันสุขภาพของรัฐที่มีในปัจจุบันของ สหรัฐอเมริกา ครอบคลุมประ ชาชนกว่า 86.8 ล้านคน ในจำนวนนี้
• เป็นผู้มีสิทธิภายใต้โปรแกรม Medicare 42.1 ล้านคน (เป็นผู้สูงอายุ 35.6 ล้านคน และ เป็นคนพิการ6.5 ล้านคน) โดยค่าใช้จ่ายของ Medicare ในปีค.ศ.2004 คิดเป็น 301.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
• เป็นผู้มีสิทธิภายใต้
21.7 ล้านคน) โดยค่าใช้จ่ายในปีค.ศ.2004 คิดเป็น 297.5 ล้านเหรียญสหรัฐโปรแกรม Medicaid 44.7 ล้านคน (เป็นผู้ป่วยสูงอายุ 4.2 ล้านคน เป็นผู้ป่วยพิการ 7.7 ล้านคน เป็นผู้ป่วยเด็ก
• เป็นผู้มีสิทธิภายใต้โปรแกรมประกันสุขภาพสําหรับเด็ก 4.2 ล้านคน (State Children's Health Insurance Program-SCHIP) ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 6.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบระบบประกันสุขภาพของรัฐ ได้แก่
Centers for Medicare and Medicaid Services (CMS) ซึ่งอยู่ภายใต้ Department of Health and Human Service CMS เป็นหน่วยงานที่บริหารจัดการแผนบริการสุขภาพ 2 แผนคือ
Medicare และ Medicaidซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้เงินจากภาครัฐใน การบริหารจัดการ (publicly financed health care programs) นอกจากหน้าที่ในการให้ประกันสุขภาพแล้วCMSยังดูแลกิจกรรม เกี่ยวกับคุณภาพต่างๆ
แหล่งที่มาของรายได้สําหรับใช้ในการบริหารจัดการ Medicare Part B
ส่วนใหญ่มาจากภาษีทั่วไปและpremiumที่เก็บจากผู้มีสิทธิส่วนการ จ่ายค่าตอบแทนสําหรับการให้บริการจะเป็นไปตามfee schedule หรือบัญชีค่าตอบแทนนอกจากนี้Medicareได้เพิ่มทางเลือกให้กับผู้มีสิทธิ โดยเป็นผู้มีสิทธิเลือกที่จะสมัครเข้าใน
Medicareเป็นโครงการประกันสังคมในระดับชาติที่บริหาร โดยรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ.1966 ในปัจจุบันมี บริษัทเอกชนประมาณ 30-50 บริษัททั่วประเทศที่รับทำสัญญา จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพื่อการ บริหารโครงการ Medicare
Medicare Part C หรือ Medicare Advantage
ได้ทําข้อตกลงกับบริษัทประกันสุขภาพซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของ Health Maintenance Organizations ก็ได้บริษัท เหล่านี้จะทําข้อตกลงกับ Medicare โดย Medicare จ่ายค่าตอบแทนแบบเหมาต่อคนต่อปีให้แก่บริษัทเหล่านี้
เดิมการประกันสุขภาพของ Medicare แบ่งการครอบคลุมเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ part A และpart B
แหล่งที่มาของรายได้สําหรับใช้ในการบริหารจัดการ Medicare Part A
ส่วนใหญ่มาจากภาษีรายได้ ซึ่งผู้ที่ทํางานจะร่วมจ่าย 1.45% และบริษัทผู้ว่าจ้างจ่ายสมทบในจํานวนเท่ากัน การจ่ายคืนค่าตอบแทนสําหรับบริการใน Part A เป็นแบบ Prospective Payment System โดยผู้ป่วยในจะจ่ายตาม Diagnosis Related Groups (DRG)
2.สิทธิประโยชน์ภายใต้Medicare
โดยทั่วไปแล้วสิทธิประโยชน์ที่Medicaidให้แก่ผู้มีสิทธิอาจแตกต่าง กันไปในแต่ละรัฐแต่จะมีบริการพื้นฐานบางส่วนที่เหมือนกัน เนื่องจากเป็นเงื่อนไขในการรับเงินอุดหนุน (matching fund) จากรัฐบาลกลาง ตัวอย่างบริการทางการแพทย์ที่ Medicaid จัดให้ได้แก่บริการตรวจรักษาสําหรับผู้ป่วยในและตรวจรักษาผู้ป่วยนอก บริการฝากครรภ์ และวางแผนครอบครัว บริการด้านวัคซีนให้เด็ก การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการฉายรังสี เป็นต้น
สวัสดิการสังคม หมายถึง ระบบการจัดบริการสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาทาง สังคมและพัฒนาสังคมรวมทั้งการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคมเพื่อให้ประชาชน
สามารถดำรงชีวิตได้ในระ ดับมาตรฐาน
โดยสวัสดิการสังคมจะได้รับทุนสนับสนุนจากการเก็บภาษีจากระชาชนทั่วไปเพื่อจัดสวัสดิการ ให้แก่คนในสังคมในด้านต่างดังต่อไปนี้
ขอบเขตของงานสวัสดิการสังคม (Fields of Social Welfare)
• การศึกษา (Education)
• สุขภาพอนามัย (Health Care)
• การประกันรายได้ (Income Maintainance) : มีงานทำ มีรายได้ มีสวัสดิการแรงงาน
• ที่อยู่อาศัย (Housing)
• ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความมั่นคงทางสังคม (Safety in Life and Property)
• นันทนาการ (Recreation)
• บริการสังคมปัจเจกบุคคล (Personal social services)
2. Social Insuran การประกันสังคมการประกันสังคมเป็น รูปแบบหนึ่งของการสร้างความมั่นคงทางสังคมเน้นการช่วยเหลือซึ่ง กันและกันระหว่างคนในสังคมโดยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกันจ่ายเงินสมทบตั้งเป็นกองทุนประกันสังคมเพื่อใช้จ่ายเมื่อผู้ประกันตนต้องประสบความเดือดร้อน เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างและประชาชนทั่วไป ให้มีหลักประกันในการดำรงชีวิตอย่างน้อยในระดับหนึ่ง
ระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกามีความแตกต่างกับหลายประเทศทั่วโลก และเป็นประเทศเดียวในประเทศที่พัฒนาแล้วที่ไม่มีระบบประกันสุขภาพสำหรับประ ชาชนทุกคน อีกทั้งการเข้าถึงระบบรักษาพยาบาลของประชาชนชาวสหรัฐฯ มีความเลื่อมล้ำในการได้รับบริการที่แตกต่างกันตามกรมธรรม์สุขภาพของแต่ละบุคคล ปัจจุบันชาวอเมริกันสามารถเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพผ่าน 3 ช่องทาง (คนอเมริกันส่วนใหญ่จะอยู่ในระบบประกันสุขภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง) ได้แก่ รัฐบาลเป็นผู้ประกันบริษัทเอกชนผู้ว่าจ้างเป็นผู้ประกันและการซื้อกรมธรรม์ประกัน สุขภาพด้วยตัวเอง
ระบบการบริการดูแลสุขภาพของสหรัฐอเมริกามีเอกลักษณ์ของตนเองและเกือบทั้งหมดดำเนิน การโดยภาคเอกชนในแง่ดีคือสามารถให้บริการรักษาพยาบาลด้วยคุณภาพสูงสุดแต่ตามมาด้วยค่าใช้ จ่ายที่สูงมากผู้ที่ไม่สามารถเข้าระบบประกันสุขภาพและผู้ที่ต้องจ่ายเงินซื้อกรมธรรม์ด้วยตนเองเป็น กลุ่มคนที่ลำบากที่สุดและเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ว่าราวครึ่งหนึ่งของครอบครัวอเมริกันที่ถูกฟ้องล้มลาย ใน แต่ ละปีมีสาเหตุจากค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล
ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกระทบต่อระบบสาธารณสุขของสหรัฐเป็นภาระแก่คนที่ไม่มี ประกันสุขภาพกับรัฐบาล และเมื่อผนวกกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น จำนวนผู้สูงอายุที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่ชะลอตัว การขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องหลายปี ก่อให้เกิดข้อสงสัยว่า รัฐบาลสหรัฐจะแบกรับภาระได้หรือไม่และควรทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีประกันสุขภาพ เหล่านี้
นโยบายโอบามาแคร์”โครงการประกันสุขภาพชาวอเมริกา :ความสำเร็จแห่งยุคโอบามา
เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา แซงผลโพล ความเชื่อของสังคมก่อนการเลือกตั้งว่า นางฮิลลาลีคลินตันจะได้รับเลือกตั้งแม้แต่เว็บไซต์พนันยัง ให้อัตตาต่อรองของทรัมป์อยู่ที่ 1 ต่อ 4ชัยชนะของประธานาธิบดี โดนัลล์ ทรัมป์นำมาสู่ความกังวลต่างๆ ของชาวอเมริกาและชาวโลก เพราะนโยบายของโดนัลล์ ทรัมป์ต่างๆเหลือจะทน ไม่ว่าจะเป็นกีดกันคนมุสลิมเข้าสหรัฐ กีดกันการเข้าเมืองผิดกฏหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแม็กซิโกที่ทรัมป์บอกว่าจะสร้างกำแพงชายแดนระหว่างสหรัฐฯและแม็กซิโก ภายใต้สโลแกนอันสวยหรูในการหาเสียงว่า“MakeAmericaGreatAgain”และด้วยชัยชนะ ครั้งนี้ไม่ได้เป็นที่กังวลของชาวโลกเท่านั้นว่าทรัมป์จะมีทิศทางการบริหารประเทศอย่างไร แต่ยังรวมไปถึงความเป็นพรรคฝ่ายขวาอย่างพรรครีพับริกันที่เป็นฝ่ายค้านมากว่า 8 ปี ปล่อยให้พรรคเดโมเครตบริหารประเทศภายใต้การนำของนายบารัค โอบามา ซึ่งมีทิศทางบริหารไปในทิศทางช่วยเหลือคนและดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรกับประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยหนุนเสริมสร้างประชาธิปไตยในพม่า การถอนทหารออกจากอิรัก การลดนักโทษในคุกกัวเตมาลาลงกว่าครึ่งแม้จะมีเสียงคัดค้าน และนโยบายหนึ่งที่น่าสนใจคือ โครงการประกันสุขภาพของชาวอเมริกา หรือที่เรียกว่า “โอบามาแคร์”
“โอบามาแคร์”เป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกกฎหมายว่าด้วยการประกันสุขภาพและ ระบบสาธารณสุขที่ถูกผลักดันโดยรัฐบาลของนายบารัคโอบามากฎหมายนี้เป็นการปฏิรูประบบสาธารณสุขครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่กำเนิด โครงการ “เมดิเคด (Medicaid)” และ “เมคิแคร์ (Medicare)” เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว
ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นรัฐบาลไม่จัดสวัสดิการสาธารณสุขให้คนมาก เท่าในยุโรป และระบบประกันสุขภาพก็ยังอยู่ในขั้นแบเบาะ เป้าหมายหลักของ “โอบามาแคร์” คือการทำให้บริการระบบสาธารณสุขเป็นสิทธิที่ทุกคนควรมี และไม่ขึ้นกับความรวยหรือจนมากเท่าที่เป็นอยู่