Introducing
Your new presentation assistant.
Refine, enhance, and tailor your content, source relevant images, and edit visuals quicker than ever before.
Trending searches
1. เพื่อศึกษาเรื่องของการตั้งครรภ์ในแต่ละระยะในการตั้งครรภ์ เพื่อการวางแผนการพยาบาลที่ถูกต้องเหมาะสมในแต่ละระยะ โดยในการทำ Nursing Care Conference ครั้งนี้เป็นการศึกษาการพยาบาลมารดาในไตรมาสที่หนึ่ง เพื่อการวางแผนการพยาบาล การตรวจร่างกาย การให้การพยาบาลแบบองค์รวม
2. เพื่อให้นักศึกษาสามารถวิเคราะห์ปัญหา ความต้องการของมารดาได้อย่างเหมาะสมกับระยะของการตั้งครรภ์และสามารถ
ให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในมารดาตั้งครรภ์
3. เพื่อพัฒนาศักยภาพในด้านการคิดวิเคราะห์ เชื่อมโยง แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบในด้านการการวางแผนการพยาบาลให้กับผู้ป่วย
ได้อย่างเหมาะสมในมารดาตั้งครรภ์ไตรมาสที่หนึ่ง
1. เป็นหญิงตั้งครรภ์เข้ารับบริการฝากครรภ์ที่คลินิกฝากครรภ์ซึ่งตรง
กับการฝึกปฏิบัติงาน รายวิชา ปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการ
ผดุงครรภ์1 และนักศึกษาทุกคนมีความสนใจ มีส่วนร่วมในการดูแล
ทำให้เข้าใจในปัญหาของมารดาและทารกเป็นอย่างดี
2. มารดาครรภ์สอง G2P1A0L1 GA 13+5 wks อยู่ในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
3. หญิงตั้งครรภ์ให้ความร่วมมือในการสัมภาษณ์และเต็มใจที่จะให้
นักศึกษาได้ศึกษาเป็นอย่างดี เพื่อง่ายต่อการซักประวัติและการให้
การพยาบาล
1. กำหนดการใช้เวลาในการทำ Nursing care conference
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
2. ผู้ดำเนินการประชุมจะเปิดช่วงให้มีการซักถามข้อสงสัยเป็นระยะ ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องยกมือขึ้นและขออนุญาตก่อนถามคำถาม
3. ผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องแสดงความคิดเห็น และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพยาบาลที่ปฏิบัติแก่ผู้ป่วย
4. ผู้เข้าร่วมประชุมต้องรักษามารยาททั่วไปในการประชุม และต้องให้เกียรติรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
ของสมาชิกในกลุ่ม
5. งดใช้เครื่องมือสื่อสาร หรือกรุณาใช้ระบบสั่นเพื่อไม่
รบกวนสมาชิกอื่น
ชื่อผู้รับบริการ : คุณอุราภรณ์ อุทัยจอม
อายุ : 32 ปี สถานภาพสมรส : คู่
สัญชาติ : ไทย เชื้อชาติ : ไทย ศาสนา : พุทธ
อาชีพ : ผู้ช่วยพยาบาล
ระดับการศึกษา : ประกาศณียบัตร รายได้ครอบครัวต่อเดือน : 17,000 บาท
ที่อยู่ : ตำบลคลองขาม อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์
การวินิจฉัยโรคมารดา : Supervision of normal pregnancy G2P1A0L1 GA 13+5 wks
ความหมาย : การควบคุมการตั้งครรภ์ตามปกติ ตั้งครรภ์ครั้งที่สอง เคยคลอดบุตร ไม่เคยแท้ง มีบุตรมีชีวิตหนึ่งคน อายุครรภ์ปัจจุบัน 13 สัปดาห์ 5 วัน
อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล: มารดา G2P1A0L1 , GA 13+5 wks. มาฝากครรภ์ตามนัดครั้งที่ 3
วันที่นักศึกษารับไว้ในการดูแล : 27 กุมภาพันธุ์ 2563
หญิงตั้งครรภ์มีประจำเดือนขาดประมาณ 2 เดือน มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ คัดตึงเต้านม จึงไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจ จึงทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ มาฝากครรภ์ครั้งแรกที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์วันที่ 9 มกราคม 2563 ร่วมกับมีอาการน้ำมูกไหล ไอ ครั่นเนื้อครั่นตัว ได้รับการอัลตราซาวด์ อายุครรภ์ 6+5 สัปดาห์ ตรวจเลือดเพื่อฝากครรภ์แพทย์นัดติดตามผลวันที่ 30 มกราคม 2563
ฝากครรภ์ครั้งที่ 2 วันที่ 30 มกราคม 2563 อายุครรภ์ 10+1 wks. แพทย์นัดติดตามผลตรวจเลือดพบผลปกติ รับประทานอาหารได้น้อย วิงเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ ไอ มีเสมหะ
ฝากครรภ์ครั้งที่ 3 วันที่ 27 กุมภาพันธุ์ 2563 อายุครรภ์ 13+5 wks. มาฝากครรภ์ตามนัด มีอาการวิงเวียนศีรษะ ปัสสาวะบ่อย
LMP = 22 พฤศจิกายน 2562, คำนวณ EDC จาก LMP = 29 สิงหาคม 2563 ให้ประวัติไม่เคยทำแท้ง ได้รับวัคซีน dT เมื่อ พ.ศ. 2548
หญิงตั้งครรภ์คลอดบุตรคนแรก GA 38 wks. เพศชาย น้ำหนักแรกคลอด 2,900 กรัม ในปี พ.ศ. 2549 วิธีการคลอดโดยใช้คลอดธรรมชาติ (Normal labor) ไม่มีอาการผิดปกติหลังคลอด ทารกกลับบ้านพร้อมมารดา
Lab1 ฝากครรภ์ ครั้งแรก
หญิงตั้งครรภ์ :
- Hct, MCV, DCIP, Anti HIV, VDRL, Blood group, Rh, HbsAg
- Urine Analysis
สามี :
- OF, DCIP, MCV
- Anti-HIV
Lab 2 อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ หรือ ห่างจากครั้งแรก 3 เดือน
หญิงตั้งครรภ์ :
- Hct, VDRL, Anti-HIV, ( HbsAg ซ้ำกรณี ผลครั้งแรก ; Positive )
ตรวจปัสสาวะเพื่อดูไข่ขาว/น้ำ ตาล ทุกครั้งที่มาฝากครรภ์
Hct (Hematocrit ) ความเข้มข้นของเลือดเป็นการตรวจเพื่อประเมินภาวะโลหิตจาง โดยจะตรวจเมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรกและตรวจซ้ำเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 30-32 สัปดาห์ ปกติไม่ควรต่ำกว่า 33 vol% เนื่องจากปริมาตรเลือด (blood volume) และเม็ดเลือดแดง (red blood cell) เมื่ออายุครรภ์ครบกำหนดปริมาตรเลือดจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 – 40
(1, 500 มิลลิลิตร) โดยจะเพิ่มมากที่สุดเมื่ออายุครรภ์ 32-34 สัปดาห์ จำนวนเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นช้าๆ และจะเพิ่มด้วยอัตราคงที่ประมาณร้อยละ 20-30 หรือ 450 มิลลิลิตรส่วนปริมาณ plasma จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 และเพิ่มสูงสุดเมื่อตั้งครรภ์ได้ 34 สัปดาห์โดยรวมเพิ่มประมาณ ร้อยละ 40 50 ของปริมาณก่อนตั้งครรภ์ ดังนั้น สัดส่วนการเพิ่มของ plasma volume จึงมากกว่าการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงทำให้ค่าฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริตลดลงเกิดภาวะโลหิตจาง เรียกว่า Physiological anemia หรือ (Dilution (ซึ่ง Hb ไม่ควรต่ำกว่า 11 gm%)
MCV (Mean Corpuscular Volume) เป็นการตรวจกรองพาหะโรคเบต้า-ธาลัสซีเมีย และโรคฮีโมโกลบิน E ในหญิงตั้งครรภ์ MCV ที่ต่ำกว่าปกติ ย่อมแสดงว่า ปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดมีขนาดเล็กกว่าปกติ ซึ่งอาจถือเป็นข้อบ่งชี้ทำให้ทราบว่า กำลังมีโรคโลหิตจางอันเนื่องมาจากเซลล์เม็ดเลือดแดงเล็กเกินไป (Microcytic anemia) อาจเกิดจากร่างกายขาดธาตุเหล็ก หรือจากโรคโลหิตจางจากพันธุกรรมที่เรียกว่า “ธาลัสซีเมีย”
anti HIV (Antihuman immunodeficiency virus)
ควรตรวจทั้งสตรีมีครรภ์และสามี โดยทั้งสตรีมีครรภ์และสามี
ต้องได้รับการให้คำปรึกษาก่อนการตรวจเลือด และเป็นไปด้วยความสมัครใจ (VCT) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
จากแม่สู่ลูก เป็นการตรวจ serum เพื่อหาเชื้อ HIV โดยวิธี FDA-licensed Elisa ถ้าผลการตรวจหาเชื้อ HIV ให้ผลบวกจาเป็นต้องตรวจเลือดเพิ่มเติมด้วยวิธี (enzyme linked immunosorbent assays [ELISA]) และเทคนิควิธี western blot technology เพื่อยืนยันการติดเชื้อ HIV
DCIP (Dichlorophenol Indophenol Precipitation test)
เป็นการตรวจคัดกรองพาหะ Thalassemia (ฮีโมโกลบินอี : Hb E) เนื่องจากโรคธาลัสซีเมียเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งอาจทำให้ทารกในครรภ์เลือดจางและซีดมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิตในครรภ์ หรือหลังการคลอด การรายงานผล คือ Positive หรือ Negative อาจให้ผล positive ได้ใน Hb H disease ถ้าผล positive ควรตรวจยืนยัน โดยการตรวจ Hb typing การแปลผล DCIP test ควรทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากมีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตกตะกอนของสายฮีโมโกลบินอีที่ถูกออกซิไดซ์ในสารละลายของ DCIP รวมทั้งการหยุดปฏิกิริยาและกำจัด DCIP ส่วนเกินออกไป เพื่อสามารถอ่านได้ด้วยตาเปล่า
VDRL test (Venereal Diseases Research Laboratory)
การตรวจกรองเบื้องต้นเพื่อดูการติดเชื้อโรคซิฟิลิส เนื่องจากโรคซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ จะส่งผลต่อทารกในครรภ์ โดยทำให้ทารกติดเชื้อซิฟิลิส ทารกเจริญเติบโตช้า คลอดก่อนกำหนด หรืออาจเสียชีวิตในครรภ์ ถ้าผลตรวจเป็น Reactive อาจไม่ได้บ่งชี้การติดเชื้อดังกล่าวชัดเจน เพราะในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ หรือ ผู้ป่วยที่มีความปกติของภูมิคุ้มกัน สามารถตรวจพบผลบวกได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรทำการตรวจยืนยันผลอีกครั้งด้วยวิธี TPHA test
การตรวจหมู่เลือด ABO และหมู่เลือด Rh คัดกรองเพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดภาวะการแตกของเม็ดเลือดแดง (Hemolysis) จากหมู่เลือดไม่เข้ากัน (ABO blood group incompatibility)
OF (Osmotic Fragility) เป็นการตรวจคัดกรองธาลัสซีเมีย ตรวจเม็ดเลือดแดง หรือพิจารณาจากค่า mean corpuscular volume (MCV) ร่วมกับ dichlorophenol indophenol precipitation test (DCIP) หากเป็นผลบวกส่งตรวจ hemoglobin typing เพื่อการวินิจฉัยและรักษา
HBsAg (Hepatitis B surface antigen) เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี เพื่อตรวจการเป็นพาหะของเชื้อ
โรคไวรัสตับอักเสบบี เพราะไวรัสตับอักเสบบีสามารถถ่ายทอด
ได้ทางรก และสารคัดหลั่งขณะคลอด ในรายที่ผลเลือด HBsAg ให้ผลบวก แสดงว่าสตรีมีครรภ์เป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบบี จะต้องให้คำแนะนาการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันการดำเนินของโรค
ที่รุนแรงขึ้นและการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลอื่น และต้องให้คำปรึกษาการดูแลให้ทารกได้รับภูมิคุ้มกันโดยการฉีด Hepatitis B immunoglobulin (HBIG) ภายใน 24 ชั่วโมง
UA (Urine Analysis) การตรวจปัสสาวะอย่างละเอียด คือ การตรวจวิเคราะห์น้ำปัสสาวะเพื่อดูลักษณะทางกายภาพ สารเคมี และตรวจทางกล้องจุลทรรศน์ เพื่อค้นหาความผิดปกติและประเมินความเสี่ยงในบางโรคเบื้องต้นจากน้ำปัสสาวะ
หญิงตั้งครรภ์ :
- Hct 39.6%
- MCV 94.0 fl
- DCIP Negative
- Anti HIV Negative
- VDRL Non reactive
- Blood group, Rh B+
- HbsAg Negative
สามี :
- MCV 79.5 fl
- DCIP Negative
- Anti HIV Negative
ก่อนตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์รับรู้ว่าตนเองมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีการแพ้ยา แพ้อาหาร เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ทำงาน ไม่ซื้อยามารับประทานเอง ไม่รับประทานยาสมุนไพร ไม่ได้เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่
ขณะตั้งครรภ์ : ได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยักและคอตีบ 3 ครั้ง เมื่อ พ.ศ.2548 หญิงตั้งครรภ์รับรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ โดยมีประจำเดือนขาดประมาณ 2 เดือน มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ คัดตึงเต้านม จึงไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจ จึงทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ หลังจากทราบว่าตนตั้งครรภ์จึงได้มาฝากครรภ์ที่คลินิกฝากครรภ์โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์เนื่องจากเคยตั้งครรภ์มาแล้ว 1 ครั้ง เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มนม ไม่ทำงานหนัก ไม่ยกของหนัก และการให้นมบุตรหลังคลอด 6 เดือน เป็นต้น มีภาวะไม่สุขสบาย คือ ปัสสาวะบ่อย คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เมื่อเกิดภาวะไม่สุขสบายไม่ทราบวิธีการดูแลตนเอง ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่
การตรวจ urine pregnancy test วันที่ 9 มกราคม 2563 ผลเป็นบวก
มีภาวะไม่สุขสบาย คือ ปัสสาวะบ่อย คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ทราบว่าเป็นภาวะไม่สุขสบายที่เกิดจากการตั้งครรภ์แต่ไม่ทราบวิธีการดูแลตนเอง
ก่อนตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ ตรงเวลา รับประทานได้ทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารไทย ชอบรับประทานอาหารรสจัด เช่น ส้มตำ ยำ รับประทานผลไม้ได้ทุกชนิด ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการเคี้ยว กลืน ไม่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปฏิเสธการแพ้ยา แพ้อาหาร ดื่มน้ำที่กรองสะอาด 1,000-1,500 มล./วัน
ขณะตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่ามักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
เมื่อได้กลิ่นอาหารบางชนิด เช่น ปลาร้า รับประทานได้น้อย บางครั้งไม่อยากอาหาร รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ ตรงเวลา ไม่กินจุบจิบ อาหารที่รับประทาน เช่น นม น้ำเต้าหู้ ข้าวต้ม โจ๊ก ไม่รับประทานอาหารรสจัด ผลไม้ที่รับประทาน เช่น มะละกอ ส้ม น้ำดื่มจะดื่มน้ำเปล่าประมาณ 1500-2000 ml
มารดามีสีหน้าสดชื่น น้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ 45 kg สูง 160 cm BMI = 17.58 kg/m2 แปลผล น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ ปัจจุบันน้ำหนัก 45 kg สูง 160 cm ตลอดระยะการตั้งครรภ์น้ำหนักเท่าเดิม ไม่มีเยื่อบุตาซีด ริมฝีปากชุ่มชื่น ฟันไม่ผุ ไม่มีเหงือกบวม ต่อมไทรอยด์ไม่โต
มีอาการคลื่นไส้อาเจียน รับประทานได้น้อย บางครั้งไม่อยากอาหาร
ก่อนตั้งครรภ์ : การขับถ่ายปัสสาวะวันละประมาณ 2-3 ครั้ง ลักษณะสีเหลืองใส ไม่มีตะกอนไม่แสบขัด การถ่ายอุจจาระวันละ 1 ครั้ง คือตอนเช้า อุจจาระไม่แข็ง สีเหลืองถ่ายไม่ลำบาก ปฏิเสธการใช้ยาระบาย
ขณะตั้งครรภ์ : ปัสสาวะวันละ 6–7 ครั้ง มักปัสสาวะตอนกลางคืน 2 – 3 ครั้ง มีลักษณะสีเหลืองใส ไม่แสบขัด มีอาการท้องผูก ถ่ายอุจจาระ 2-3 วันต่อ 1 ครั้ง อุจจาระค่อนข้างลำบาก จะแก้ไขโดยการรับประทานผัก และผลไม้ช่วย ไม่มีท้องเสีย ปฏิเสธการใช้ยาระบาย
วันที่ 27 เมษายน 2561
- Urine Sugar negative
- Urine Albumin negative
- ปัสสาวะวันละ 6–7 ครั้ง มักปัสสาวะตอนกลางคืน 2 – 3 ครั้ง
- มีอาการท้องผูก ถ่ายอุจจาระ 2-3 วันต่อ 1 ครั้ง อุจจาระค่อนข้างลำบาก
ก่อนตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น ทำงานบ้าน ทำอาหาร ประกอบอาชีพผู้ช่วยพยาบาล ทำงานเป็นเวร ได้แก่ เช้า บ่าย ดึก เวรละ 8 ชั่วโมง โดยบางวันทำงาน 16 ชั่วโมง บางวัน 24 ชั่วโมง ไม่มีแบบแผนการออกกำลังกายที่ชัดเจน ไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเมื่อทำกิจกรรม หายใจสะดวก ไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย
ขณะตั้งครรภ์ : สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ไม่มีแบบแผนการออกกำลังกายที่ชัดเจน ลาออกจากงานผู้ช่วยพยาบาลเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธุ์ 2563 จะหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก เช่น ยกของหนัก ไม่มีอาการเหนื่อยหอบหลังปฏิบัติกิจกรรม ไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนเพลียหรือเจ็บแน่นหน้าอก ไม่มีอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า ไม่เป็นตะคริว
หญิงตั้งครรภ์มีสีหน้าท่าทางสดชื่น ทรวงอกสมมาตรกันหายใจไม่หอบเหนื่อย อกไม่บุ๋ม เสียงหายใจปกติหลังไม่แอ่น เวลานอนหงายไม่มีอาการปวดหลัง ไหล่ไม่คุ้มงอ การเคลื่อนไหวสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ คือ สามารถทรงตัวได้ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง motor power ทั้ง 4 รยางค์เกรด 5 ไม่มีเส้นเลือดขอดบริเวณขาหนีบ ไม่มีอาการบวม Vital sign: BT = 37.0°c, PR = 93 bpm, RR = 20 bpm, BP = 90/60 mmHg
ก่อนตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่าการพักผ่อน
นอนหลับไม่เป็นเวลา แล้วแต่เวรที่ถูกจัดให้ บางวันต้องเข้าทั้งเวรเช้า บ่าย ดึก ถ้าได้เข้าเวรดึก
จะพักอยู่ในห้องพักที่ที่ทำงาน ส่วนมากนอนประมาณวันละ 3-4 ชั่วโมง ปฏิเสธการใช้ยานอนหลับ
ขณะตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่ามีอาการง่วงนอนบ่อย นอนหลับไม่เป็นเวลา รวมการนอนแต่ละวันประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับหญิงตั้งครรภ์ วันที่ 26 กุมภาพันธุ์ 2563 ลาออกจากงานผู้ช่วยพยาบาลมาเปิดร้านอาหารส่วนตัว เพื่อต้องการเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้น ปฏิเสธการใช้ยานอนหลับ
หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการง่วงนอน ไม่หาวนอน ขอบตาไม่คล้ำ
มีอาการง่วงนอนบ่อย นอนหลับไม่เป็นเวลา รวมการนอนแต่ละวันประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับหญิงตั้งครรภ์
ก่อนตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่าจบการศึกษา
ประกาศณียบัตรผู้ช่วยพยาบาล สามารถอ่านหนังสือได้
เขียนได้ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ปกติดี ตาทั้งสองข้าง
มองเห็นชัดเจน หูทั้งสองข้างได้ยินชัดเจน จมูกรับกลิ่นได้
ตามปกติ ลิ้นรับรสได้ตามปกติ ผิวหนังรับรู้ความเจ็บปวด ร้อนเย็นได้
ขณะตั้งครรภ์ : มีประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ปกติ ตาทั้งสองข้างมองเห็นชัดเจน หูทั้งสองข้างได้ยินชัดเจน จมูกรับกลิ่นได้ตามปกติ ลิ้นรับรสได้ตามปกติ ผิวหนังรับรู้
ความเจ็บปวด ร้อนเย็นได้ ไม่มีอาการชาบริเวณแขน
และปลายมือ
หญิงตั้งครรภ์ไทยรู้สึกตัวดีถามตอบรู้เรื่อง สีหน้าท่าทางสดชื่น ถามตอบตรงคำถาม รับรู้วันเวลาและสถานที่ การสื่อสาร : สามารถสื่อสารกับนักศึกษาและบุคคลอื่นได้ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ปกติ
หญิงตั้งครรภ์มีสีหน้าท่าทางสดชื่น ให้ความร่วมมือในการซักประวัติและการตรวจครรภ์ มีความตั้งใจในการฟังคำแนะนำ
ก่อนตั้งครรภ์ : มารดามีความพอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง ภูมิใจในฐานะและอาชีพของตนเอง ภูมิใจในความเป็นอยู่ในชีวิตของตนไม่เคยคิดเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น รับรู้ว่าตนเองเป็นคนมีนิสัยร่าเริง ใจเย็น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
ขณะตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์มีความพึงพอใจในการที่จะมีลูก ไม่ได้รู้สึกอับอายที่ร่างกายที่เปลี่ยนแปลง รับรู้ว่าร่างกายหรือภาพลักษณ์ของตนเองเปลี่ยนไป แต่ตนเองก็พยายามปรับตัวโดยสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดรูปจัดเกินไป สวมรองเท้าไม่มีส้น แต่งกายในชุดที่สวมใส่สบาย
หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์คนเดียว มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่และนักศึกษา ยิ้มให้เมื่อสนทนาด้วย ให้ความร่วมมือใน
การซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นอย่างดี
ก่อนตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 3 คน คือ สามี หญิงตั้งครรภ์ และลูกชาย อายุ 14 ปี ตนเองอาศัยอยู่กับสามี ลูกชายอยู่ที่โรงเรียนกีฬาจะกลับบ้านประมาณ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง และสามีประกอบอาชีพเป็นพนักงานอยู่ที่กรมชลประทาน สมาชิกในครอบครัวรักใคร่กันดี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีปัญหาขัดแย้งกันในครอบครัว ถ้ามีปัญหาก็เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยก็สามารถแก้ไขปัญหาได้
ขณะตั้งครรภ์ : เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ก็ยอมรับการตั้งครรภ์และบอกกับสามี เนื่องจากเป็นการตั้งครรภ์ที่มีการวางแผนว่าต้องการมีบุตรอีก และไม่ได้คุมกำเนิด หลังจากทราบว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มฝากครรภ์ และวางแผนว่าจะลาออกจากงาน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อสมาชิกภายในครอบครัว ทุกคนรักใคร่กันดี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ก่อนตั้งครรภ์ : มีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี ประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุก 28 วัน ระยะเวลาประมาณ 3-5 วัน ไม่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่งงานครั้งแรกเมื่ออายุ 18 ปี มีบุตร 1 คน เพศชาย คลอดบุตรครรภ์แรก
โดยวิธีการคลอดธรรมชาติ (Normal labor) ไม่มีความผิดปกติหลังคลอด บุตรกลับบ้านพร้อมมารดา หลังจากคลอดบุตรคนแรก ไม่ได้คุมกำเนิดเนื่องจาก
เลิกรากับสามีคนแรก เมื่อแต่งงานกับสามีคนที่สองวางแผนที่จะมีบุตรคนต่อไปเลย จึงไม่ได้คุมกำเนิดใดๆ ปฏิเสธการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์
ขณะตั้งครรภ์: ประจำเดือนวันแรกของครั้งสุดท้ายคือวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 รู้สึกว่าเต้านมขยายใหญ่ขึ้น คัดตึง ลานนมมีสีเข้ม ไม่มีความผิดปกติของอวัยวะเพศ ไม่มีเพศสัมพันธ์หลังจากที่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ปฏิเสธโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ุขณะตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์มีการแสดงออกทางเพศได้เหมาะสม เต้านมและหัวนมปกติ ขนาดของเต้านมทั้งสองข้าง
เท่ากัน คลำไม่พบก้อนขรุขระ หัวนมมีสีคล้ำ ยาว 0.7 เซนติเมตรทั้งสองข้าง ไม่มีบอดบุ๋ม
ดู : ไม่พบรอยแผลผ่าตัดที่บริเวณหน้าท้องและหัวเหน่า ไม่พบตุ่มนูนแดง บริเวณหน้าท้องไม่พบ linea nigra ไม่พบ striae gravidarum
คลำ : ท่าที่ 1 Fundal grip พบระดับยอดมดลูกอยู่ระดับ 1/3 > sp.
ท่าที่ 2 Umbilical grip (ยังไม่ทราบ)
ท่าที่ 3 Pawlik grip (ยังไม่ทราบ)
ท่าที่ 4 Bilateral inguinal grip (ยังไม่ทราบ)
ฟัง : -
ก่อนตั้งครรภ์ : รับรู้ว่าตนเองเป็นคนอารมณ์ดี ร่าเริง แจ่มใส ไม่ค่อยมีความเครียด เวลาเครียดจะปรึกษาครอบครัว
หรือฟังเพลง พูดคุยกับเพื่อนๆ อาการเครียดก็จะหายไปได้ ถ้ามีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยบางครั้งก็จะไปปรึกษาสามีและมารดา
ขณะตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์บอกว่ายอมรับการตั้งครรภ์ ไม่ได้รู้สึกเครียดกับการตั้งครรภ์หรือร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ได้รับการเอาใจใส่จากครอบครัว รู้สึกอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่ายขึ้น แต่ถ้าหงุดหงิดก็จะผ่อนคลายด้วยการฟังเพลง
และนอนหลับ หลังจากที่ทำแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น
- ประเมินแบบคัดกรองซึมเศร้า (2Q) ได้ 0 คะแนน
- ประเมินแบบประเมินความเครียด (ST-5) ได้ 2 คะแนน (ข้อ 1 มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับ หรือนอนมาก 2 คะแนน)
รู้สึกอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่ายขึ้น
ก่อนตั้งครรภ์ : มารดานับถือศาสนาพุทธ ให้ความ
สำคัญเกี่ยวกับการทำความดี
ขณะตั้งครรภ์ : หญิงตั้งครรภ์เชื่อในการรักษา
แผนปัจจุบัน รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งและมา
ตรวจตามนัด
หญิงตั้งครรภ์รับฟังคำแนะนำจากนักศึกษา และบุคลากรด้วยความตั้งใจ
การตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ หมายถึง ช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันแรกที่ไข่และอสุจิเกิดการปฏิสนธิจนเกิดเป็นตัวอ่อนที่พัฒนามาเป็นทารกจนถึงการคลอด โดยปกติมนุษย์ใช้เวลาในการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์
Presumptive signs of pregnancy : หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 13+5สัปดาห์ วันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายคือวันที่ 22พฤศจิกายน 2562 ประจำเดือนขาดร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ คัดตึงเต้านม
Probable signs of pregnancy : หญิงตั้งครรภ์ซื้อเครื่อง
ตรวจครรภ์มาตรวจ พบว่าตนเองตั้งครรภ์และมาตรวจยืนยัน
การตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์
Positive signs of pregnancy : ฝากครรภ์ครั้งแรก
วันที่ 9 มกราคม 2563 แพทย์ตรวจ ultra sound GA 6+5 สัปดาห์
ลานนมมีสีเข้ม มองเห็นเส้นเลือด
เต้านมจะใหญ่ขึ้นและลานนมมีสีเข้มขึ้น หัวนมจะตั้งชันไวต่อ
การกระตุ้น ผิวหนังบริเวณเต้านมจะบางลงมองเห็นเส้นเลือดชัดเจนขึ้น
มดลูก (Uterus) : จะใหญ่ขึ้นจากการยืดตัวของกล้ามเนื้อมด
ลูกและเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกมีการเพิ่มขนาด ผนังมดลูกหนาขึ้น แข็งแรงมากขึ้น และมีความยืดหยุ่น
จากการคลำท่า Fundal grip วัดระดับยอดมดลูกอยู่ที่ระดับต่ำกว่าสะดือ ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎี อายุครรภ์ 13+5 สัปดาห์ ยอดมดลูกอยู่ระดับ 1/3 >sp
หัวใจ
ปริมาณเลือด
cardiac output
โปรตีน
แรกรับพบว่า
ความดันโลหิต 90/60 mmHg อยู่ในเกณฑ์ปกติ
อัตราการเต้นของหัวใจ 93 ครั้ง/นาที อยู่ในเกณฑ์ปกติ
จากการตรวจร่างกายไม่พบ
ภาวะบวม
แรกรับพบว่า อัตราการหายใจ 20 ครั้ง/นาที อยู่ในเกณฑ์ปกติ จากการซักประวัติ สามารถปฏิบัติกิจวัตร
ประจำวันได้ด้วยตนเอง ไม่มีอาการหอบเหนื่อย ไม่มีประวัติเลือดกำเดา
ไหล
การหายใจจึงใช้กะบังลมมากขึ้น ซี่โครงซี่ท้ายๆ จะบานตัวออก มุมใต้กระดูก Xiphoid จะกว้างขึ้น และเส้นรอบวงของทรวงอกจะ
เพิ่มขึ้นถึง 6 เซนติเมตร ในการหายใจการระบายอากาศ
จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 – 50 ปริมาตรการหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง (Tidal volume) และปริมาตรหายใจต่อนาที (Minute volume) จะเพิ่มขึ้น อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ช่องปากและเหงือก
กระเพาะอาหารและลำไส้
ตับ
จากการตรวจสุขภาพ
พบว่า ปริมาณน้ำลายเท่าเดิม ไม่พบฟันผุไม่พบเหงือกบวม
จากการซักประวัติ พบว่า มีอาการคลื่นไส้อาเจียนช่วงเดือน
แรกของการตั้งครรภ์ ทำให้รับประ
ทานอาหารได้น้อยลง ไม่มีอาการปวดแสบยอดอก ถ่ายอุจจาระ 2-3 วันต่อ 1 ครั้ง อุจจาระค่อนข้างลำบาก
ไม่มีริดสีดวงทวาร
ไตขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย จะมีเลือดไหลผ่านไตเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อเรียบของกระเพาะ
ปัสสาวะจะมีความตึงตัวลดลง ทำให้มีปัสสาวะค้างในกระเพาะ
ปัสสาวะมากขึ้นและมดลูกใหญ่
ขึ้น ทำให้เกิดอาการถ่ายปัสสาวะ
บ่อยในขณะตั้งครรภ์อ่อนๆ
ขณะตั้งครรภ์ มารดาปัสสาวะวันละ 6 – 7 ครั้ง มักปัสสาวะตอน
กลางคืน 2 – 3 ครั้ง มีลักษณะ
สีเหลืองใส ไม่แสบขัด
ต่อมไทรอยด์ไม่บวมโต
ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland)
ต่อมไทรอยด์
ต่อมพาราไทรอยด์
ฮอร์โมนจากตับอ่อน
หญิงตั้งครรภ์มีผิวสีน้ำผึ้ง ผิวหนังตึงชุ่มชื่นดี เปลือกตาไม่ซีด ริมฝีปากชุ่มชื้น ผนังหน้าท้องไม่พบ Striae gravidarum ไม่พบ Linea nigra
ผิวหนังบริเวณสะดือและหัวนมจะคล้ำลง ผนังท้องจะยืดออกตามส่วนของมดลูกที่โตขึ้น ทำให้ Elastic tissue ของผนังหน้าท้องยืดออกเห็นเป็นรอยสีแดงในครรภ์แรก และจะกลายเป็นสีขาวในครรภ์หลัง รอยนี้เรียกว่า Striae gravidarum ตรงกลางหน้าท้องระหว่างหัวเหน่ากับสะดือ
จะมีสีดำเป็นเส้นเรียกว่า Linea nigra ซึ่งจะจางลงหรือหายไปภายหลังคลอด บางรายจะมีคล้ายฝ้าเพิ่มที่บริเวณโหนก
แก้มด้วยเรียกว่า Chloasma gravidarum
เมตาบอลิซึมของโปรตีน
เมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต
เมตาบอลิซึมของไขมัน
การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว (Weight gain)
การเพิ่มของปริมาณน้ำ
มารดาน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ 45 kg. สูง 160 cms. BMI = 17.58kg/m2 แปลผล น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าปกติ ปัจจุบันอายุครรภ์ 13+5 สัปดาห์ น้ำหนัก 45 kg. น้ำหนักเท่าเดิมไม่เป็นไปตามทฤษฏี
1. ความไม่แน่ใจ (Uncertainly) และความรู้สึกก้ำกึ่ง (Ambivalence)
2. ความรู้สึกเสียใจ (Grief)
3. ความกลัวและความเพ้อฝัน (Fear and fantasies)
4. อารมณ์แปรปรวน (Mood swing)
5. ความสนใจและความต้องการทางเพศ (Changes in sexual desire)
- จากการซักประวัติ พบว่า วันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย คือ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ประจำเดือนขาดร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ คัดตึงเต้านม
หญิงตั้งครรภ์จึงซื้อเครื่องตรวจครรภ์มา
ตรวจและมาตรวจยืนยันการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ พบว่าตนเองตั้งครรภ์
- หญิงตั้งครรภ์ให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์รู้สึก
ว่าอารมณ์ตนเองแปรปรวน ง่ายมาก หงุดหงิดง่ายขึ้น
จากการซักประวัติ พบว่า เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ก็ยอมรับ
การตั้งครรภ์และบอกกับสามี เนื่องจากเป็นการตั้งครรภ์ที่มี
การวางแผนว่าต้องการมีบุตรอีก และไม่ได้คุมกำเนิด หลังจาก
ทราบว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มฝากครรภ์
การยอมรับการตั้งครรภ์ (Accepting the pregnancy) บางคนส่วนใหญ่เมื่อมีอาการแสดงของ
การตั้งครรภ์มักจะไม่แน่ใจว่าตนเองตั้งครรภ์จริงหรือไม่ และจะเกิดความรู้สึกสองฝักสองฝ่าย (Ambivalence) ระหว่างความต้องการมีบุตรและไม่ต้องการมีบุตร จะมีการประเมินอาการการตั้งครรภ์ของตนเองซ้ำแล้วซ้ำ
เล่า และไปตรวจเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ เมื่อทราบว่า
ตั้งครรภ์แน่นอน จะมีการตอบสนองต่อการตั้งครรภ์
ได้หลายแบบ คือ ยอมรับ และไม่ยอมรับการตั้งครรภ์
ขณะตั้งครรภ์ มารดามีภาวะไม่สุขสบาย คือ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย อารมณ์แปรปรวน แต่สามารถควบคุมตัวเองและสามารถอดทนกับความไม่สุขสบายต่างๆ ได้
เป็นความเจริญเติบโตทางอารมณ์อย่างสมบูรณ์ รู้จักตัวเองด้วยความเป็นจริง สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม มีความมั่นคงในตนเองและรับผิดชอบพฤติกรรมของตัวเอง สตรีมีครรภ์ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ จะสามารถปรับตัวต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะตั้งครรภ์ได้อย่างเหมาะสม
สตรีมีครรภ์ที่มีความสุขในชีวิตสมรส มีสัมพันธภาพที่ดีกับสามี จะยอมรับการตั้งครรภ์ และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เนื่องจากการตั้งครรภ์ ส่วนผู้ที่มีชีวิตสมรส
ไม่ราบรื่น มีความบาดหมางกับสามี จะมีทัศนคติ
ไม่ดีต่อการตั้งครรภ์ และอาจปฏิเสธการตั้งครรภ์ได้
หญิงตั้งครรภ์ยอมรับการตั้งครรภ์และบอกกับสามี ได้รับความเอาใจใส่จาก
ครอบครัวมากขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อ
สมาชิกภายในครอบครัว
หญิงตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อมารดาและสมาชิกภายใน
ครอบครัว
สตรีมีครรภ์ที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับมารดาตั้งแต่วัยเด็ก
จนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะมีต้นแบบของการเป็นมารดา มีที่ปรึกษาเมื่อมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นในระยะตั้งครรภ์ และในการปรับบทบาทสู่การเป็นมารดา ตรงกันข้ามกับสตรีที่มีสัมพันธภาพไม่ดีกับมารดา เช่น ถูกทอดทิ้ง และทารุณกรรม เป็นต้น ย่อมขาดต้นแบบมารดาที่เหมาะสม เมื่อตั้งครรภ์จะมีความวิตกกังวลสูงต่อการทำหน้าที่การเป็น
มารดา
สตรีที่รับรู้ตัวตนของตัวเองว่าเป็นคนสุขภาพดีก่อน
ตั้งครรภ์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายเนื่องจากการ
ตั้งครรภ์ จะแสวงหาแนวทางปฏิบัติเพื่อส่งเสริมสุขภาพ
ให้ตนเองมีสุขภาพดี ดังนั้นการได้รับความรู้ที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับการตั้งครรภ์จะทำให้สตรีมีครรภ์ที่มีความพร้อมมากยิ่งขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งทางด้านร่างกาย
และจิตใจ สามารถแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อการ
ตั้งครรภ์ได้โดยไม่เกิดความคับข้องใจหรือหวาดหวั่นต่อ
การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังกล่าว
เมื่อรับรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์จึงมารับบริการฝากครรภ์ทันที ครั้งแรกวันที่ 9 มกราคม 2563 ได้รับคำแนะนำเรื่องการรับประทานอาหาร, ภาวะไม่สุขสุขสบายต่างๆ และการบรรเทา
อาการไม่สุขสบายในหญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก การดูแลตนเองป้องกันภาวะแท้งบุตร
ในช่วงไตรมาสแรก ผู้รับบริการให้ความสนใจ
ในการให้คำแนะนำ มีถามเป็นระยะๆ
หญิงตั้งครรภ์เชื่อใน
การรักษาแผนปัจจุบัน รับประทานยาตามที่
แพทย์สั่งและมาตรวจตามนัด
ความเชื่อและการให้คุณค่าเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ มีผลกระทบต่อการรับประทานอาหาร การปฏิบัติตน บทบาทและสัมพันธภาพของสตรีมีครรภ์และครอบครัว เช่น ความเชื่อว่าการตั้งครรภ์เป็นธรรมชาติของชีวิต อาจส่งผลให้สตรีมีครรภ์ไม่ให้ความสำคัญกับการฝาก
ครรภ์หรือฝากครรภ์ช้า
1. คัดตึงเต้านม (Breast tenderness)
2. คลื่นไส้อาเจียน (Nausea with or without Vomiting)
หญิงตั้งครรภ์มีอาการคัดตึงเต้านม และมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน 2 ครั้ง/วัน ในช่วงเช้าและกลางวัน
3. ปัสสาวะบ่อย (Frequent urination) เกิดจากมดลูกในอุ้งเชิงกรานมีขนาดโตขึ้นจึงไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ ร่วมกับมีปริมาณการไหลเวียนของเลือด
ไปที่ไตเพิ่มมากขึ้นทำให้อัตราการกรองของไตเพิ่มมากขึ้น จึงมีอาการปัสสาวะบ่อย
4. ความเหนื่อยล้า (Fatigue) อาจเกิดจากการเผาผลาญ
พลังงานในร่างกายสูงขึ้นในขณะตั้งครรภ์ ร่วมกับอาการ
คลื่นไส้อาเจียน และอาการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความเหนื่อยล้า
5. ภาวะหลั่งน้ำลายมาก (Ptyalism) ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากหญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถกลืนน้ำลายได้เนื่องจากอาการคลื่นไส้อาเจียน มักพบในสัปดาห์ที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ และช่วงเวลากลางวัน
6. หน้ามืดเป็นลม (Faintness) อาจมีอาการเมื่ออายุครรภ์ 2-3 สัปดาห์ อาจเกิดจาความดันโลหิตต่ำเนื่องจากการเปลี่ยแปลงอิริยาบท (Postural hypotention) หรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Low blood sugar level)
กิจกรรมขณะฝากครรภ์ครั้งแรก มีดังนี้
1. ชั่งน้ำหนัก
2. วัดส่วนสูง
3. วัดความดันโลหิต
4. ตรวจปัสสาวะ
5. ตรวจเลือด
6. ตรวจภายใน
7. ตรวจร่างกายทั่วไป
8. การได้รับฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันโรคคอตีบบาดทะยัก
9. การให้คำแนะนำ ที่เกี่ยวข้องกับการฝากครรภ์ และข้อปฏิบัติที่ดีขณะตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์หนัก 45 กก. สูง 160 ซม. มีรูปร่างปกติความอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
BP 90/60 mmHg ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ Urine sugar = Negative, Urine albumin = Negative มาฝากครรภ์ครั้งแรก ได้รับการตรวจ lab1 และนัดฟังผลวันที่ 30 มกราคม 2563 ไม่ได้รับการตรวจภายใน
การตรวจร่างกาย
conjunctiva not pale ไม่มีฟันผุหรือเหงือกบวมอักเสบ ลานนมและหัวนมปกติ ไม่มีหัวนมสั้น หัวนมบอด หรือหัวนมบุ๋ม พบว่า ยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว ไม่พบภาวะบวมและเส้นเลือดขอด ต่อมไทรอยด์ไม่บวมโต
ได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคคอตีบบาดทะยัก ได้รับคำแนะนำเรื่องการรับประทานอาหาร, ภาวะไม่สุขสบายต่างๆ และการบรรเทาอาการไม่สุขสบายในหญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก การดูแลตนเองป้องกันภาวะแท้งบุตรในช่วงไตรมาสแรก และได้รับการนัดตรวจครั้งต่อไปเมื่ออายุครรภ์ 10+1 สัปดาห์ เพื่อตรวจครรภ์และติดตามผลเลือด
ครั้งที่ 1 ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์
ครั้งที่ 2 เมื่ออายุครรภ์ 18 สัปดาห์ (บวก/ลบ ได้ 2 สัปดาห์)
ครั้งที่ 3 เมื่ออายุครรภ์ 26 สัปดาห์ (บวก/ลบ ได้ 2 สัปดาห์)
ครั้งที่ 4 เมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์ (บวก/ลบ ได้ 2 สัปดาห์)
ครั้งที่ 5 เมื่ออายุครรภ์ 38 สัปดาห์ (บวก/ลบ ได้ 2 สัปดาห์)
หญิงตั้งครรภ์ได้รับการฝากครรภ์ครั้งแรกวันที่ 9 มกราคม 2563 อายุครรภ์ 6+5 สัปดาห์
ครั้งที่ 2 มาตามผล Lab 1 วันที่ 30 มกราคม 2563 อายุครรภ์ 10+1 สัปดาห์
ครั้งที่ 3 วันที่ 27 กุมภาพันธุ์ 2563 อายุครรภ์ 13+5 สัปดาห์ ซึ่งมาฝากครรภ์ตรงกับทฤษฎีการฝากครรภ์ห้าครั้งคุณภาพ
1. ไม่สุขสบาย คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์ มีภาวะไม่สุขสบาย คือ คลื่นไส้อาเจียน ทราบว่าเป็นภาวะไม่สุขสบายที่เกิดจากการตั้งครรภ์แต่ไม่ทราบวิธีการดูแลตนเอง
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียน รับประทานได้น้อย บางครั้งไม่อยากอาหาร
O: มารดา G2P2A0L1
การตรวจครรภ์ : GA 13+5 wks. ขนาดยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว
2. ไม่สุขสบาย ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์ มีภาวะไม่สุขสบาย คือ ปัสสาวะบ่อย (ปัสสาวะวันละ 6–7 ครั้ง มักปัสสาวะตอนกลางคืน 2 – 3 ครั้ง) ทราบว่าเป็นภาวะไม่สุขสบายที่เกิดจากการตั้งครรภ์แต่ไม่ทราบวิธีการดูแลตนเอง
O: มารดา G2P2A0L1
การตรวจครรภ์ : GA 13+5 wks. ขนาดยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว
3. ไม่สุขสบาย ท้องผูก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์ มีอาการท้องผูก ถ่ายอุจจาระ 2-3 วันต่อ 1 ครั้ง อุจจาระค่อนข้างลำบาก
O: มารดา G2P2A0L1
การตรวจครรภ์ : GA 13+5 wks. ขนาดยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว
4. อารมณ์แปรปรวน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์ รู้สึกอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่ายขึ้น
O: มารดา G2P2A0L1
การตรวจครรภ์ : GA 13+5 wks. ขนาดยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว
5. ส่งเสริมการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ในระยะไตรมาสที่ 1
ข้อมูลสนับสนุน
S: - “มารดาบอกว่าตั้งครรภ์ครั้งที่สองทราบเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวการดูแลตนเองเล็กน้อย”
O: มารดา G2P1A0L1 GA 13+5 wks
ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์ มีภาวะไม่สุขสบาย คือ คลื่นไส้อาเจียน ทราบว่าเป็นภาวะไม่สุขสบายที่เกิดจากการตั้งครรภ์แต่ไม่ทราบวิธีการดูแลตนเอง
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียน รับประทานได้น้อย บางครั้งไม่อยากอาหาร
O: มารดา G2P2A0L1
การตรวจครรภ์ : GA 13+5 wks. ขนาดยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว
อาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหาร (gastrointestinal tract) เกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้อาหารผ่านเข้ากระเพาะช้า และการเพิ่มระดับฮอร์โมน HCG ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต ซึ่งทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะพบเมื่อตั้งครรภ์ไปได้ประมาณ 2 เดือนจึงเป็นตัวกระตุ้นให้หญิงตั้งครรภ์เกิด อาการคลื่นไส้อาเจียน นอกจากนี้ความวิตกกังวลของหญิงตั้งครรภ์ เช่น กลัวการคลอดบุตรมีปัญหาครอบครัว ไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ก็สามารถทำให้เกิดอาการได้
1. ประเมินและซักถามอาการภาวะไม่สุขสบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้รับบริการ
2. สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อหญิงตั้งครรภ์ เปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึก พูดคุยเกี่ยวกับภาวะไม่สุขสบายของตน และให้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ
3. อธิบายสาเหตุและให้คำแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์เกี่ยวกับอาการไม่สุขสบาย
คำแนะนำ
1. ควรรับประทานอาหารแข็งที่ย่อยง่าย เช่น ขนมปังปิ้ง ให้ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆทันทีที่ตื่นนอน ควรดื่มช้าๆ แล้วนอนต่อประมาณ 15 นาที ก่อนที่จะลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
2. ให้เพิ่มจำนวนมื้ออาหารให้มากขึ้น และรับประทานในปริมาณไม่มากนัก
ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์ มีภาวะไม่สุขสบาย คือ ปัสสาวะบ่อย (ปัสสาวะวันละ 6–7 ครั้ง มักปัสสาวะตอนกลางคืน 2 – 3 ครั้ง) ทราบว่าเป็นภาวะไม่สุขสบายที่เกิดจากการตั้งครรภ์แต่
ไม่ทราบวิธีการดูแลตนเอง
O: มารดา G2P2A0L1
การตรวจครรภ์ : GA 13+5 wks. ขนาดยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว
ปัสสาวะบ่อย เกิดจากมดลูกในอุ้งเชิงกรานมีขนาดโตขึ้นจึงไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ ร่วมกับมีปริมาณการไหลเวียนของเลือด
ไปที่ไตเพิ่มมากขึ้นทำให้อัตราการกรองของไตเพิ่มมากขึ้น จึงมีอาการปัสสาวะบ่อย หากมารดาไม่ปัสสาวะจะทำให้ปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้นจะทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
1. ประเมินและซักถามอาการภาวะไม่สุขสบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้รับบริการ
2. สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อหญิงตั้งครรภ์ เปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึก พูดคุยเกี่ยวกับภาวะไม่สุขสบายของตน และให้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ
3. อธิบายสาเหตุและให้คำแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์เกี่ยวกับอาการไม่สุขสบาย
คำแนะนำ
1. ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
2. ไม่ควรกลั้นปัสสาวะหรือกลั้นไว้นานๆ
3. ให้สังเกตอาการต่อไปนี้ เช่น มีปัสสาวะแสบขัด มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหลัง ถ้าพบอาการเหล่านี้ต้องปรึกษาแพทย์
ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์ มีอาการท้องผูก ถ่ายอุจจาระ 2-3 วันต่อ 1 ครั้ง อุจจาระค่อนข้างลำบาก
O: มารดา G2P2A0L1
การตรวจครรภ์ : GA 13+5 wks. ขนาดยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว
อาการท้องผูก constipation เกิดจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นแล้วไปกดเบียดกระเพาะ
อาหารให้มีขนาดเล็กลง ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร โดยอิทธิพลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นทำให้กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้คลายตัว การเคลื่อนไหวและการบีบตัวน้อยลง จึงทำให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น เกิดอาการท้องอืดและอุจจาระแข็งมากขึ้นทำให้ท้องผูกและอาจเกิดอาการริดสีดวงทวารได้
1. ประเมินและซักถามอาการภาวะไม่สุขสบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้รับบริการ
2. สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อหญิงตั้งครรภ์ เปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึก พูดคุยเกี่ยวกับภาวะไม่สุขสบายของตน และให้ซักถามข้อสงสัยต่างๆ
3. อธิบายสาเหตุและให้คำแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์เกี่ยวกับอาการไม่สุขสบาย
คำแนะนำ
1. เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงให้มากขึ้น โดยการรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืช
2. ดื่มน้ำมากๆอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน วันละ 20-30 นาที ออกกำลังกาย 3-4 วันต่อสัปดาห์
4. สร้างลักษณะนิสัยในการขับถ่ายโดยฝึกการขับถ่ายทุกวัน
5. ควรหลีกเลี่ยงประเภทของอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส เช่น กะหล่ำปลี ถั่ว เพราะอาการท้องผูกจะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้
6. ไม่ควรใช้ยาถ่ายหรือยาระบายถ้าจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง
ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาให้ข้อมูลว่าขณะตั้งครรภ์ รู้สึกอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่ายขึ้น
O: มารดา G2P2A0L1
การตรวจครรภ์ : GA 13+5 wks. ขนาดยอดมดลูก 1/3 มากกว่าระดับหัวหน่าว
อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายสาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในขณะตั้งครรภ์ความกังวลเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์การคลอด และ จากบทบาทที่ต้องเปลี่ยนไป
1. ประเมินภาวะอารมณ์แปรปรวนของหญิงตั้งครรภ์
2. อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์ทราบว่าเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ในร่างกายจึงทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนได้
3. อธิบายให้สามีและครอบครัวเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของหญิง
ตั้งครรภ์
4. แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์พักผ่อนให้เพียงพอ
5. แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เช่น นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย
6. หากมีอาการอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำ
เกี่ยวกับการบำบัดหรือการรักษาที่เหมาะสม
คำแนะนำ
1. แนะนำสามีและครอบครัวให้กำลังใจและรับฟังปัญหาของหญิงตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
S: “มารดาบอกว่าตั้งครรภ์ครั้งที่สองทราบเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวการดูแลตนเองเล็กน้อย”
O: มารดา G2P1A0L1 GA 13+5 wks
การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์มีความสำคัญทั้งต่อหญิงตั้งครรภ์เองและทารกในครรภ์
เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ จึงต้องมีการดูแล
ที่เฉพาะมากขึ้น โดยไตรมาสที่ 1 หญิงตั้งครรภ์จะเกิดความไม่สุขสบายต่างๆ และเสี่ยงต่อ
การแท้งได้ง่ายหญิงตั้งครรภ์จึงต้องมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตนระหว่างตั้งครรภ์และนำไปปฏิบัติได้ถูกต้องและเหมาะสม
1. ประเมินความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะตั้งครรภ์ของผู้รับบริการ
2. ให้คำแนะนำในเรื่องที่หญิงตั้งครรภ์ต้องการและตามระยะไตรมาสที่ 1 ดังนี้
2.1 โภชนาการ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรได้รับในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เช่น โปรตีน พบได้ในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วชนิดต่างๆ แคลเซียม พบได้ในนม ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง เต้าหู้แผ่น วิตามินและเกลือแร่ พบได้ในผักสด และผลไม้ น้ำสะอาด ธาตุเหล็ก พบใน ตับ เครื่องใน ดอกแค
2.2 การพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 10-12 ชั่วโมง และนอนกลางวันอย่างน้อนวันละครึ่งชั่วโมง
2.3 การออกกำลังกายในระหว่างมีครรภ์ ใช้การเดินออกกำลังวันละ 10-20 นาที หรือสามารถว่ายน้ำได้ แต่ควรทำอย่างพอเหมาะ หากมีอาการแพ้มาก อ่อนเพลีย ควรงดออกกำลังกายไปก่อน
2.4 การดูแลฟัน หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจฟันตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ฟันที่ผุทั้งหมดควรได้รับการอุด และรักษาเพราะถ้ามีฟันอักเสบเรื้อรังอาจเป็น
สาเหตุของการอักเสบที่จะกระจายไปยังอวัยวะอื่นในระหว่างการตั้งครรภ์
2.5 การรักษาความสะอาดร่างกายสุขภาพของผิวหนังระหว่างการตั้งครรภ์
เป็นเรื่องสำคัญมีความจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดมากขึ้น ผิวหนังหน้าท้องและเต้านมอาจจะแตก (striae gravidarum) ซึ่งถ้าผิวแห้ง
จะทำให้บริเวณนี้คันมาก ควรให้ทาผิวด้วย baby oil หรืออาจใช้น้ำมันมะกอก
2.6 การแต่งกายควรแนะนำให้หญิงมีครรภ์ดังนี้
- ใช้เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่รัดรูปแน่น และผ้าที่สวมใส่ควรมีเนื้อบางเบาใส่สบาย
- ไม่ควรใส่ยกทรงที่รัดหน้าอกแน่นเกินไปจะทำให้โลหิตไหลเวียนไปเลี้ยง
เต้านมไม่ดีทำให้การเจริญเติบโตของเต้านมไม่ดีเท่าที่ควร
- รองเท้าควรใช้ชนิดไม่มีส้น เพราะถ้าใส่รองเท้าส้นสูงจะทำให้ปวดขาและ
ปวดหลัง
7. การมีเพศสัมพันธ์ ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ผู้หญิงจะมีความต้อง
การทางเพศลดลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและอาการคลื่นไส้
อาเจียน สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้แต่ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับรกใน 3 เดือนแรกหรือ
กรณีมีแนวโน้มจะคลอดก่อนกำหนดก็ควรงด แต่ในกรณีที่มีประวัติการแท้งอาจิณ (Habitual abortion) หรือการแท้งคุกคาม (Threatened abortion) ต้องงดการร่วมเพศอย่างเด็ดขาด
ตลอด 3-4 เดือนแรก โดยท่าที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ควรเป็นท่าที่ฝ่ายชาย
ไม่ลงน้ำหนักทับหน้าท้องฝ่ายหญิง ได้แก่
- ท่านอนหงายให้ฝ่ายหญิงอยู่ด้านบน
- ท่านอนตะแคงให้ฝ่ายชายอยู่ด้านหลังฝ่ายหญิง
- ท่านอนคว่ำยกก้นสูงศีรษะแนบชิดหมอนและให้สามียืนประกบด้านหลัง
- ท่านอนหงายบนเตียงโดยให้ฝ่ายหญิงนอนหงายและฝ่ายชายนั่งคุกเข่าบนพื้นหันหน้า
เข้าหากัน
- ท่านั่งให้ฝ่ายหญิงนั่งคร่อมอยู่บนสามีที่นั่งบนเก้าอี้
2.8 การเดินทาง ต้องคำนึงถึงภาวะต่างๆ เช่น อายุครรภ์แนะนำว่า
ไม่ควรเดินทางไกลในช่วงอายุครรภ์ ก่อน 16 สัปดาห์ซึ่งอาจจะทำให้แท้งได้ การเดินทางไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมงและควรหยุดพักการเดินทางทุก 2 ชั่วโมง ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์และผู้ป่วยที่มีโรค
ประจำตัวไม่ควรเดินทาง ได้แก่
- หญิงตั้งครรภ์ที่มีประวัติเสี่ยงเกี่ยวกับการตั้งครรภ์
- ประวัติแท้งบุตร
- ปากมดลูกปิดไม่สนิท
- ประวัติตั้งครรภ์นอกมดลูกควรตรวจก่อนว่าครรภ์นี้ไม่ใช่นอกมดลูก
- ประวัติคลอดก่อนกำหนด
- มีประวัติรกเกาะผิดปกติ
- เคยมีแท้งคุกคามมาก่อน
- ตั้งครรภ์แฝด
- มีประวัติเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง
- มีประวัติตั้งครรภ์ลำบาก
- ตั้งครรภ์แรกที่อายุมากกว่า 35 ปีหรือน้อยกว่า 15 ปี
3. เปิดโอกาสในหญิงตั้งครรภ์ซักถามข้อสงสัย
4. ประเมินความเข้าในการปฏิบัติตัวหลังจากได้รับคำแนะนำ