Introducing 

Prezi AI.

Your new presentation assistant.

Refine, enhance, and tailor your content, source relevant images, and edit visuals quicker than ever before.

Loading…
Transcript

Words with various meaning

1. คำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัย

1

Words with various meaning

คำพวกนี้จะมีรูปเขียนเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกัน ดังในตัวอย่างต่อไปนี้

1. Comforter

A. Her father has always been her sole comforter ever since her mother died.

- บิดาของเธอเป็นผู้ปลอบขวัญเธอแต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอดนับตั้งแต่มารดาของเธอเสียชีวิตไป

B. The baby was given a comforter when she goes to sleep.

- ทารกได้จุกนมปลอมเวลานอน

C. She had to wear a comforter around her neck because of the cold weather outside.

- เธอต้องใช้ผ้าพันคอให้อุ่นเพราะอากาศข้างนอกหนาว

2. Compliment

A. She was pleased with his compliment.

- เธอชอบใจใน คำเยินยอ ของเขา

B. History is the compliment of geography.

- ประวัติศาสตร์เป็น เครื่องเสริม ภูมิศาสตร์ให้สมบูรณ์

C. These books were sent to us for free as the publisher’s compliments.

- หนังสือเหล่านี้ได้รับฟรีในฐานะ ของสมนาคุณ จากสำนักพิมพ์

3. Party

A. His wife is planning to throw a surprise birthday party for him.

- ภรรยาของเขากำลังคิดจะจัดงานวันเกิดให้เขาประหลาดใจเล่น

B. An ideal politician should consider for public benefits before his own party.

- นักการเมืองในอุดมคตินั้น ควรจะถือเอาประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนพรรคการเมืองของตนเอง

C. This document has to be signed by both parties concerned.

- เอกสารฉบับนี้จะต้องได้รับการลงนามโดยทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

4. Odd

A. Houses on the left side of the street have odd numbers.

- บ้านที่อยู่ทางซ้ายมือของถนนเป็นเลขคี่

B. What shall I do with this odd shoe?

- จะให้ฉันทำอะไรดีกับรองเท้าข้างเดียวที่เหลือนี่

C. He picks up odd jobs as a living.

- เขาหากินโดยการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

D. He had an odd appearance.

- เขามีท่าทางประหลาด ๆ พิกล

5. Nurse

A. He nurses his garden with care.

- เขาบำรุงรักษาสวนของเขาด้วยความเอาใจใส่

B. Children should nurse their parents

in their old age.

- ลูกๆควรปรนนิบัติบิดามารดาเมื่อแก่เฒ่า

6. Draw

-to draw a picture วาด รูป

-to draw money from the bank เบิก เงินจากธนาคาร

-to draw conclusions ลง ความเห็น

-to draw lots จับ สลาก

-to draw a pistol ชัก ปืน

7. Match

A. She is a suitable match for him.

- เธอเป็นคู่ที่เหมาะ กับเขา

B. I need a match to light the stove.

- ฉันอยากได้ไม้ขีด มาจุดเตาอบ

8. Neighbor

A. My next-door neighbor has borrowed my lawn mower.

- เพื่อนบ้านที่อยู่บ้านถัดเราไป ได้ขอยืมเครื่องตัดหญ้าของเราไป

B. He passed the book to his neighbor.

- เขาส่งหนังสือต่อไปยังผู้ที่นั่งถัดเขาไป (ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนบ้าน เช่น ในโบสถ์หรือในห้องเรียน)

9. Produce

A. Thailand exports a lot of agricultural

produce each year.

- ประเทศไทยส่งออกผลผลิตทางเกษตรกรรมมากในแต่ละปี

B. This artist produces very little.

- จิตรกรคนนี้ไม่ค่อยจะสร้างสรรค์ผลงานเท่าใดนัก

C. The magician produced a rabbit from his hat.

- นักมายากลดึงเอากระต่ายออกมาจากหมวกของเขา

10. Delivery

A. This van is used for the delivery of parcels.

- รถตู้คันนี้ใช้ส่งหีบห่อ วัสดุภัณฑ์

B. She died while delivering a baby

- เธอตายขณะคลอด (ไม่ได้แปลว่า“ ขณะกำลังเอาเด็กไปส่ง)

11. Develop

A. His plan gradually developed.

- แผนการของเขาค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่าง ขึ้นทุกที

B. The story of man’s development from primitiveness to civilization is interesting.

- เรื่องราวแห่งความเจริญของมนุษย์ตั้งแต่ขั้นป่าเถื่อนมาจนถึงขั้นอารยะเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง

C. These photographic films have not yet been developed.

- ฟิล์มถ่ายรูปเหล่านียงไม่ได้ล้าง (ไม่ควรแปลว่า“ ยังไม่ได้รับการพัฒนา)

จะเห็นได้ว่า ในการแปลคำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัยนั้น ผู้แปลจะเสี่ยงต่อการแปลผิดได้ง่าย

หากไม่ตรวจสอบความหมายในพจนานุกรมให้ดีเสียก่อนและเลือกเอาความหมายที่ถูกต้องออกมา ซึ่งผู้แปล

จะต้องใช้วิจารณญาณของตนเนื่องจากพจนานุกรมนั้นจะมีหน้าที่ให้ความหมายเท่านั้น แต่จะไม่อาจบอกได้ว่า เราควรจะเลือกใช้ความหมายใดจึงจะเหมาะสม ดังคำกล่าวที่ว่า

“ Dictionary is a fool, but an honest man.”

2

2.การแปลคำศัพท์ที่รูปคำ

มักทำให้เข้าใจความหมายผิด

ความผิดอันเกิดจากการที่ผู้เรียน “หลงแปล” ไปเพราะเข้าใจความหมายของคำศัพท์นั้นผิดไป

เพราะรูปคำมักจะดู“หลอกตา” นั้น เป็นความผิดที่พบบ่อยมากอีกประเภทหนึ่ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1. Lately he came to visit his parents.

มีผู้แปลว่า - เขามาเยี่ยมพ่อแม่แต่มาช้าเกินไป

ควรแปลว่า - เมื่อเร็ว ๆ นี้เขามาเยี่ยมพ่อแม่

คำอธิบาย เขามาเยี่ยมพ่อแม่แต่มาช้าเกินไป = He came to visit his parents but he came too late.

2. Presently, the ship came into sight.

มีผู้แปลว่า - ในปัจจุบันนี้เรือก็ปรากฏตัวขึ้น

ควรแปลว่า - ในไม่ช้า ก็เห็นลำเรือ

คำอธิบาย presently มีความหมายเหมือนกับคำว่า“ Soon” แต่คนอเมริกันจะใช้คำนี้ในความหมายว่า“ at

present” ด้วย แต่ tense ของคำกริยาจะเป็น present tense เช่นประโยคว่า“ The Secretary of State is

presently in Africa.” ซึ่งแปลว่า“ รัฐมนตรีต่างประเทศ (ของสหรัฐอเมริกา)

ตอนนี้ กำลังอยู่ที่อัฟริกา”

3. The party ended and we all went to our respective rooms.

มีผู้แปลว่า - งานเลี้ยงเลิกพอดีและพวกเราก็พากันไปที่ห้องพัก อันน่าเคารพยำเกรง เหล่านั้น

ควรแปลว่า - งานเลี้ยงเลิกพอดีและพวกเราก็พากันแยกย้ายกันกลับห้องพักของตน

คำอธิบาย “ we all went to our respective rooms.” มีความหมายเหมือนการพูดว่า “ Each of

us went to his or her own room.

4. I am a lifelong racing enthusiast.

มีผู้แปลว่า - ข้าพเจ้าเป็นผู้ซึ่งกระตือรือร้นเกี่ยวกับการแข่งรถ ที่มีอายุยืน คนหนึ่ง

ควรแปลว่า - ข้าพเจ้าเป็นผู้ซึ่งกระตือรือร้นเกี่ยวกับการแข่งรถมาจนตลอดชีวิต

คำอธิบาย คำว่า “ lifelong” เป็นคุณศัพท์ที่มีความหมายว่า“ continuing for a long time” ใน

ประโยคนี้ใช้ขยายนามวลี“racing enthusiast” จึงมีความหมายว่า การเป็นผู้มีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับ

การแข่งรถนี้เป็นมานานแล้วหากต้องการจะแปลว่า “ ข้าพเจ้าเป็นผู้ซึ่งกระตือรือร้นเกี่ยวกับการแข่งรถที่มีอายุ

ยืนคนหนึ่ง” ต้นฉบับจะเป็น “ I am a long-living racing enthusiast.

5. Death deprived him of his wife.

มีผู้แปลว่า - มัจจุราช พรากเขาไปจากภรรยา (เขาตาย, ภรรยายังอยู่)

ควรแปลว่า - มัจจุราชพรากภรรยาไปจากเขา (ภรรยาตาย, เขายังอยู่)

คำอธิบาย คำกริยา“ deprive Somebody of something นี้เป็นกริยาตัวหนึ่งที่มักทำให้เกิดความ

งุนงงแก่ผู้เรียน มีความหมายตามพจนานุกรมว่า “ take away something from Somebody”

ดังนั้น เมื่อพูดว่า“ Death deprived him of his wife” จึงมีความหมายว่า “ Death took his wife

away from him.” ไม่ใช่“ Death took him away from his wife” กริยารูปนี้นั้นได้ทำให้ผู้แปล

เข้าใจว่าคนตายยังอยู่ และคนอยู่นั้นตาย มานักต่อนักแล้ว จึงเป็นกริยาที่ควรให้ความระมัดระวังในการแปลมากตัวหนึ่ง

6. He is baldly selfish.

มีผู้แปลว่า - เขาเห็นแก่ตัวเหมือนคนหัวล้าน

ควรแปลว่า - เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่ปิดบัง

คำอธิบาย ผู้แปลตีความหมายของคำว่า “ bald” ซึ่งแปลว่า “ หัวล้าน” จึงเข้าใจว่า

“baldly” ซึ่งเป็น adverb จะมีความหมายว่า “เหมือนหรืออย่างคนหัวล้าน” ด้วย แท้ที่จริงแล้ว

คำว่า“ baldly” มีความหมายเหมือนกับ “plainly” หรือ “openly” จึงควรแปลว่า “อย่าง

เปิดเผย” หรือ “อย่างไม่ปิดบัง”

7. Capital punishment is not allowed in some countries.

มีผู้แปลว่า - การลงโทษในเมืองหลวง นั้นทำไม่ได้ในบางประเทศ

ควรแปลว่า - การลงโทษด้วยการประหารชีวิตนั้น ทำไม่ได้ในบางประเทศ

คำอธิบาย ผู้แปลเข้าใจว่า capital เป็นคำนามหมายความถึง“ เมืองหลวง” ซึ่งก็เป็นความหมาย

หนึ่งของคำนี้นอกจากอีกความหมายหนึ่งคือ “ เงินทุน” แล้วเช่นในคำว่า “ registered capital”

ซึ่งหมายถึง “ เงินทุนจดทะเบียน” แต่ในประโยคนนั้น“ Capital” เป็นคุณศัพท์หมายความว่า

“punishable by death” เช่นในคำว่า “capital offenses ซึ่งแปลว่า “ความผิดที่มีโทษถึงประหาร”

8. Guerrilla attack in Chile. (พาดหัวข่าว)

มีผู้แปลว่า ฝูงลิงกอริลล่า บุกชิลี

ควรแปลว่า ผู้ก่อการร้ายจู่โจมในชิลี

คำอธิบาย ผู้แปลสับสนคำว่า guerrilla ซึ่งแปลว่า “ ผู้ก่อการร้ายกับคำว่า gorilla ซึ่งแปลว่า “ลิงกอริลล่า”

ซึ่งก็น่าเห็นใจเพราะคำสองคำนี้ออกเสียงเหมือนกันว่า เกอ-ริลเลอะ แต่ถ้าดูตามรูปตัวสะกดแล้วจะเห็นว่า

ต่างกัน ผู้แปลควรจำว่าคำว่า guerrilla ซึ่งแปลว่า“ ผู้ก่อการร้าย” นั้นประกอบด้วยคำละตินที่มีความหมายว่า

“ สงคราม” อยู่คือคำว่า“ guerre” และคำที่มักจะพบบ่อยคือ “ guerrilla war ซึ่งแปลว่า“ สงครามกองโจร

9. Militant students rallied in front of the Embassy.

มีผู้แปลว่า - นักศึกษาวิชาทหาร ชุมนุมประท้วงหน้าสถานทูต

ควรแปลว่า - นักศึกษาหัวรุนแรงชุมนุมประท้วงหน้าสถานทูต

คำอธิบาย ผู้แปลเข้าใจว่าคำว่า“ militant” มีความหมายเดียวกันกับคำว่า“ military” ซึ่งเป็น

คุณศัพท์เช่นในคำว่า “ military man” แปลว่า “ พวกทหาร” แท้จริงแล้วคำว่า “ militant”

มีความหมายว่า“ actively engaged in or supporting the use of force” ดังนั้น จึงมี

ความหมายว่า“ พวกหัวรุนแรง” ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นทหารก็ได้เช่น ในคำว่า “ militant

students” และ “militant workers เป็นต้น

ข้อเสนอแนะ

ในการพยายามลดความผิดจากการแปลคำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัย และคำศัพท์ที่รูปเขียนมัก

ทำให้เข้าใจความหมายผิดไปนั้น ควรพิจารณาดูปริบท (context) ของสิ่งที่ให้แปลนั้นเป็นหลักใหญ่ เช่น เคยมี

ผู้เรียนแปลแปลประโยค For fear of the on-coming storm, the dog carried its puppies in its mouth

one by one to a safe place. ว่า“ เพราะเกรงภัยจากพายุที่กำลังใกล้เข้ามาเจ้าสุนัขจึงค่อย ๆ คาบ ดอกฝิ่น

(poppies) ทีละดอกไปยังที่ปลอดภัย” ความผิดประเภทนี้ไม่ควรเกิดขึ้นหากผู้เรียนจะได้พิจารณาดูเนื้อความ

หรือปริบทของบทที่นำมาให้แปล ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสุนัขและลูกของมัน ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมี

เรื่องดอกฝันเกี่ยวข้องอยู่ตอนไหนเลย “ความฝังใจ” อยู่กับความหมายที่ตนคุ้นเคยนี้เป็นปัญหาที่ทำให้ผู้เรียน

แปลผิดมานักต่อนักแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนพึงสังวรณ์ไว้และเน้นแปลพิจารณาดูบริบทประกอบไปด้วยทุก

ครั้งในเวลาแปล และเมื่อเกิดความไม่แน่ใจในเรื่องความหมาย ก็ให้ผู้เรียนตรวจสอบจากพจนานุกรมทุกครั้งไป

เพราะคำที่มีปัญหานั้นอาจจะเป็นคำที่มีความหมายหลายนัยได้

3. การแปลคำศัพท์ที่ให้ระดับ

ความหมายที่แตกต่างกัน

Words with different shades of meaning

3

ในภาษาไทย คำว่า โกรธ โมโห เคือง ฉุน รำคาญ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำที่มีความหมายไปทางด้าน

“โกรธ” ทั้งสิ้น แต่ระดับของความหมายนั้นต่างกันหรือในภาษาอังกฤษคำว่า dislike, hate, loathe ถึงจะมี

ความหมายไปในทำนองเดียวกันคือ “ไม่ชอบ” แต่ก็ไม่เหมือนกันทีเดียวในด้านระดับความหมาย (dislike = ไม่

ชอบ, hate = เกลียด, loathe = รังเกียจหรือขยะแขยง) ผู้สอนแปลควรเน้นให้ผู้เรียนพิจารณาเลือกใช้คำให้มี

ความหมายอยู่ในระดับเดียวกันกับ

ในการแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษนั้น ก็มีข้อควรระวังเช่นเดียวกัน ในการเลือกใช้คำที่มี

ความหมายแฝง เพราะมีผู้แปลที่ทำความผิดประเภทนี้มากพอสมควร ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1. “คุณดูแปลกตาไปนะคะวันนี้ทำผมทรงใหม่ใช่ไหมคะนี่” (ผู้พูดตั้งใจจะชมผู้ฟัง)

มีผู้แปลว่า - “You look strange today. A new hairdo, I suppose.” (You look strange เป็น

คำติมีความหมายเหมือนกับพูดว่า “คุณดูพิลึก”)

ควรแปลว่า “You look different today. A new hairdo, I suppose.”

2. หนังสือเล่มนั้นตลกมากใครอ่านใครก็ชอบ (ผู้พูดตั้งใจชมหนังสือเล่มนั้น)

มีผู้แปลว่า - That book is ridiculous. Whoever reads it, likes it. (ridiculous

มีความหมายไปในทางลบ อาจแปลได้ว่า “ช่างน่าขันสิ้นดี” ถ้าหากเปลี่ยนประโยคใหม่ว่า “That book is ridiculous. Whoever

likes it must be out of his mind.” ประโยคจึงจะฟังดูไม่ค้านกัน)

ควรแปลว่า “That book is very funny. Whoever reads it, likes it.”

3. They were artless man. That’s why they were fooled so easily like that. (ความหมายดี)

มีผู้แปลว่า - พวกเขาเป็นคนไม่มีศิลปะ ถึงได้ถูกหลอกเอาง่าย ๆ อย่างนั้น (ความหมายไม่ดี)

ควรแปลว่า - พวกเขาเป็นคนซื่อ (ไม่มีเล่ห์กลมารยา) ถึงได้ถูกหลอกเอาง่าย ๆ อย่างนั้น

4. awfully

A. He is awfully ugly. (ความหมายไม่ดี)

ควรแปลว่า รูปร่างของเขาน่าเกลียดพิลึก

B. ข. You are awfully nice. (ความหมายดี)

ควรแปลว่า คุณนี้ดีจริง ๆ

C. ค. His throat is awfully red. (ความหมายไม่ดี)

ควรแปลว่า คอเขาแดงน่ากลัวจริง ๆ

4. ปัญหาทางด้านการแปลสำนวน Problem with idiom translating

4

เป็นปัญหาที่ยากกว่าเรื่องแปลคำศัพท์ประการหนึ่งเป็นเพราะผู้เรียนไม่ทราบว่าสิ่งที่ตนแปลนั้นเป็น

สำนวน จึงแปลไปตรง ๆ ตามนั้น เช่น เคยมีผู้แปลสำนวนว่า “I’ll give him a ring.”

ซึ่งที่ถูกควรแปลว่า "ผมจะโทรถึงเขา” เป็น “ผมจะให้แหวนแก่เขา” แทน เป็นต้น

เพื่อช่วยแก้ปัญหานี้ก็คือ ผู้แปลควรตรวจสอบกับพจนานุกรม หรือเจ้าของภาษาทุกครั้งที่มีข้อสงสัยว่า

ข้อความนั้น ๆ อาจจะเป็นสำนวนวิธีตรวจสอบนั้นทำได้ด้วยการเปิดหาจากคำหลัก (head word) ของสำนวน

นั้น ๆ เช่นสำนวนว่า“ at bay” ซึ่งแปลว่า“ จนตรอก” ก็อาจตรวจสอบได้จากคำว่า “ bay” สำนวนว่า

“hang together” ซึ่งแปลว่า “สามัคคีกัน” ก็อาจตรวจสอบได้จากคำว่า “hang” เป็นต้น

อนึ่ง ในการแปลสำนวนนั้น นอกจากการพยายามหาความหมายอันถูกต้องของสำนวนนั้นจาก

พจนานุกรมแล้ว ผู้เรียนยังควรใช้ความพยายามแปลให้ฟังดูเป็นไทย ๆ อีกด้วย ไม่ควรแปลไปตรง ๆ

ตามรูปภาษาอังกฤษที่มีมาแต่เดิม ดังตัวอย่างต่อไปนี้

-I wonder how they can live together. They truly lead a cat and dog life.

ควรแปลว่า ฉันสงสัยจริง ๆ ว่า เขาอยู่กันได้อย่างไรนะ อย่างกับขมิ้นกับปูนจริง ๆ

(แต่บางครั้งก็มีคนแปลสำนวนนี้ตรงๆว่า “เหมือนหมากับแมว”)

-He is always making thin excuses for being late.

ควรแปลว่า เขามักจะ แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ เวลามาสาย

(ไม่ควรแปลว่า“ แก้ตัวอย่างบาง ๆ ”)

สำนวน ความหมาย

- (face) as red as a beetroot (หน้า) แดงเหมือนลูกตำลึงสุก

5. แปลให้เป็นสำนวนแปลที่ดีไม่ได้

5

การแปลนั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือ การรวมเอาทักษะ “การอ่าน” และ “การเขียน” มารวมไว้ด้วยกันนั่นเอง

ปัญหาใหญ่ที่สุดของผู้เรียนแปลคือ การขาดความเข้าใจต้นฉบับนั้น จัดเป็นปัญหาทางด้านการอ่าน ส่วนปัญหา

รองลงมาคือ การแปลให้เป็นสำนวนแปลที่ดีไม่ได้ซึ่งจัดเป็นปัญหาด้านการเขียน

เทียบคำแปลของประโยค

ดังต่อไปนี้

1. He was not faithful to his wife, so she asked for a divorce.

A. เขาไม่ซื่อตรงต่อภรรยาของเขา ดังนั้น เธอจึงขอให้มีการหย่า

B. เขานอกใจภรรยา เธอจึงขอหย่าขาดจากเขา

2. She died broken-hearted.

A. เธอตายด้วยหัวใจที่แตกสลาย

B. เธอตรอมใจตาย

3. The patient hovers between life and death.

A. คนป่วยส่ายไปส่ายมาระหว่างชีวิตกับความตาย

B. คนป่วยอาการร่อแร่

4. He never discriminates in favor of those he likes, nor against those he dislikes.

A. เขาไม่เคยแบ่งแยกว่าเข้าข้างคนที่เขาชอบหรือเป็นปฏิปักษ์กับคนที่เขาไม่ชอบ

B. เขาไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

5. You are like a light in the dark hour of adversity.

A. เธอเหมือนไฟในชั่วโมงแห่งความทุกข์ยากอันมืดมิด

B. เธอเปรียบประดุจดวงประทีปที่ฉายแสงในยามทุกข์ยาก

จะเห็นว่าประโยค B. ในทุก ๆ ข้อ จะฟังดูเป็นภาษาไทยที่สละสลวยมากกว่าในประโยค

A. นอกเหนือจากความเป็น “ศาสตร์” ซึ่งอาจจะสอนได้ในระดับหนึ่ง เช่น การที่ผู้เรียนเกิดความเข้าใจต้นฉบับ

รู้จักเลือกใช้คำได้เหมาะสมและให้ได้เป็นภาษาเขียนที่สละสลวยนี้เอง ที่ทำให้การแปลจัดเป็น “ศิลปะ” อย่าง

หนึ่งซึ่งสอนกันไม่ได้โดยตรง

อนึ่ง การที่ผู้เรียนมีสำนวนภาษาเขียนที่สละสลวยนั้นมิได้หมายความว่าผู้เรียนจะแปลได้ถูกต้องเสมอไป

สำนวนแปลที่ฟังดูดีนั้น บางครั้งก็เป็นสิ่งที่ “หลอกตา” ผู้เรียนการแปลทุกคนควรถือเอา ความถูกต้องของ

ความหมาย (Equivalence in meaning) มาเป็นเกณฑ์อันดับหนึ่งที่จะใช้วัดคุณภาพของงานแปล ต่อเมื่อมี

ความถูกต้องของความหมายครบถ้วนหมดแล้ว จึงค่อยพิจารณาในเรื่องความสละสลวยของภาษาที่ใช้แปล

ต่อไปเป็นอันดับสอง ไม่ควรจะถือเอางานแปลที่ใช้สำนวนสละสลวยแต่ใจความไม่ถูกต้องครบถ้วนตามต้นฉบับ

ว่าเป็นงานแปลที่ดีเป็นอันขาด

ตัวอย่างงานแปลที่แสดงให้เห็นความสามารถในการเลือกใช้คำของผู้แปลได้อย่างหลากหลาย

a. He has an awkward manner.

เขามีท่าทาง เคอะเขิน

b. He gives us an awkward excuse.

เขาแก้ตัวกับเรา อย่างกล้อมแกล้ม

Learn more about creating dynamic, engaging presentations with Prezi