Betöltés...
Átirat

การเปลี่ยนแปลงทางด้านดนตรีช่วงในรัชกาลที่7-9

ดนตรีไทย

ถือว่าเป็นดนตรีของชาติไทยที่มีมาแต่โบราณและมีมาแตกต่างกันไป

เริ่มจากสมัยสุโขทัย ซึ่งมีแต่เพียงเครื่องสาย

ต่อมาสมัยอยุธยา เริ่มมีการแนะนำระนาดเข้ามาผสมวงและมีการเพิ่มเครื่องดนตรีต่างๆ เช่น ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเล็ก ระนาดทุ้มเล็ก เป็นต้น

ในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงครามและได้มีการก่อสร้างเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น เกิดความสงบร่มเย็น

ศิลปวัฒนธรรมของชาติก็ได้รับการฟื้นฟูทะนุบำรุง และส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยเฉพาะทางด้านดนตรีไทย ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลำดับ

ในสมัยรัชกาลที่ 7

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสนพระทัยทางด้านดนตรีไทยมาก เช่น พระองค์ได้พระราชนิพนธ์เพลงไทยที่เพราะไว้ถึง 3 เพลง คือ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น เพลงเขมรลอยองค์ (เถา) และเพลงราตรีประดับดาว (เถา)

พระองค์และพระราชินีได้โปรดให้ครูดนตรีเข้าไปถวายการสอนดนตรีในวังแต่เป็นที่น่าเสียดายที่ระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระองค์ไม่นานเนื่องมาจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยและพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์

ในสมัยรัชกาลที่ 7 นี้ ก็ยังได้มีวงดนตรีประจำวัง เช่น วงวังบูรพา วงวังบางขุนพรหม วงวังบางคอแหลม และวงวังปลายเนิน เป็นต้น แต่ละวงก็ต่างขนขวายหาตรูดนตรีและนักดนตรีที่มีฝีมือเข้ามาประจำวงมีการฝึกซ้อมกันอยู่เนืองนิจ บางครั้งก็มีการประกวดประชันกันจึงทำให้ดนตรีไทยในสมัยนี้มีความจริญเฟื่องฟูมาก

ในสมัยรัชกาลที่ 8

ในสมัยรัชกาลที่ 8 ดนตรีไทยเริ่มซบเซาลงอาจกล่าวได้ว่า เป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ดนตรีเกือบจะถึงจุดจบ เนื่องจากรัฐบาลในสมัยหนึ่งมีนโยบายที่เรียกว่า “รัฐนิยม” ซึ่งนโยบายนี้ มีผลกระทบต่อดนตรีไทยด้วย คือมีการห้ามบรรเลงดนตรีไทย เพราะเห็นว่า ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ

แต่ก็ยังมีนักดนตรีอีกไม่น้อยที่ไม่ยอมทิ้งดนตรีไทย ยกตัวอย่างเช่น

หลวงประดิษฐ์ไพเราะ

(ศร ศิลปะบรรเลง)

เพลงเอกของท่านที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 เช่น แสนคำนึงเถา กราวรำเถา แขกเงาะ และแขกชุมพล

ในสมัยรัชกาลที่ 9

สมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดนตรีไทยมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งเนื่องจากพระองค์ทรงโปรดการดนตรีทุกประเภท

แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ที่ทรงพระปรีชาสามารถทางด้านดนตรีสากลถึงแก่พระราชนิพนธ์เพลงขึ้นไว้หลายเพลงแต่พระองค์ก็ทรงพระทัยในการดนตรีไทย

เป็นอันมาก

เวลาที่ทรงรับแขกบ้านแขกเมืองหรือมีงานบันเทิงส่วนพระองค์ก็มักโปรดเกล้าให้บรรเลงดนตรีไทยเสมอ จนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญจากชาวโลก

พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงไว้จำนวน 48 เพลง เช่น เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 1 คือ เพลงแสงเทียน

ทรงให้วงดนตรีไทยที่มีชื่อเสียงมาบรรเลงบันทึกเสียงออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิตเป็นประจำ เช่น คณะศรทองของหลวงประดิษฐ์ (ศร ศิลปะบรรเลง) คณะพาทยโกศล วงของคุณหญิงชิ้น ศิลปะบรรเลง และวงของนายมนตรี ตราโมทบางครั้งพระองค์ทรงบันทึกเสียงกับวงดนตรีไทยด้วย เช่น วงของข้าราชบริพาร

การสอนดนตรีไทยได้รับการส่งเสริมเข้าสู่โรงเรียนและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ทั้งในระดับประถมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษา จนถึงอุดมศึกษา มีการก่อตั้งชุมนุมดนตรีไทยในสถาบันการศึกษาต่างๆและมีการจัดประกวดดนตรีไทยระดับต่างๆโดยภาครัฐและเอกชน

และได้รับการเผยแพร่ผ่านทางสื่อรูปแบบใหม่ทั้งแถบบันทึกเสียง และซีดี รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ และเว็บไซต์มาจนถึงทุกวันนี้

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ศิลปวัฒนธรรมดนตรีที่สำคัญยิ่ง พระองค์พระปรีชาสามารถในทางการบรรเลงดนตรีไทยและขับร้องจนพระราชนิพนธ์เนื้อร้องสำหรับนำไปบรรจุเพลงต่างๆ

ผลงานเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียง เช่น เพลงไทยดำเนินดอย เพลงเต่าเห่ เพลงชื่นชุมนุมกลุ่มดนตรีไทย เป็นต้น เสด็จไปร่วมงานมหกรรมดนตรีไทยต่างๆ งานแสดงดนตรีไทยครั้งสำคัญๆ งานพิธีไหว้ครูดนตรีไทย และงานพระราชทานรางวัลศิลปินแห่งชาติให้แก่ศิลปินดนตรีไทยและศิลปินด้านอื่นๆ

สมาชิกกลุ่มที่4

นายนราธร วอนเพียร ม.6/1 เลขที่ 3

นายพงศ์ปกรณ์ นิลบุตร ม.6/1 เลขที่ 7

นายพสิษฐ์ วิรุฬธนวงศ์ ม.6/2 เลขที่ 3

นางสาวจารุวรรณ วอนเพียร ม.6/1 เลขที่ 13

นางสาวณัฐกานต์ จันทุภา ม.6/2 เลขที่ 5

นางสาววริศรา จักรโชคอนันต์ ม.6/2 เลขที่ 6