Introducing
Your new presentation assistant.
Refine, enhance, and tailor your content, source relevant images, and edit visuals quicker than ever before.
Trending searches
การทดลองทางจิตวิทยาในศตวรรษที่20
กลุ่ม Success
ศึกษาโดย จอห์น บี วัตสัน (John B. Watson) และ โรซาลี เรย์เนอร์ (Rosalie Rayner)
ทำการทดลองนี้เพื่อศึกษาว่ามนุษย์สามารถถูกวางเงื่อนไขให้กลัวสิ่งต่างๆ ได้หรือไม่
ดำเนินการทดลองโดย
เมื่อหนูน้อยอัลเบิร์ต จับหนูขาวขนนุ่ม จะมีการตีเหล็กทำเสียงดังให้ทารกน้อยตกใจกลัวจนร้องไห้ซึ่งโดยธรรมชาติ
ทารกโดยทั่วไปจะตกใจและหวาดกลัวเสียงที่ดังอยู่แล้ว ทว่าเมื่อเขาทำเสียงดัง
ให้หนูน้อยอัลเบิร์ตตกใจแบบนี้ไปไม่กี่ครั้ง
"หนูน้อยกลับมีอาการหวาดกลัวหนูขาว"
ผลการทดลองคือ อัลเบิร์ตแสดงอาการกลัวหนูขาวตัวเล็กๆ โดยเมื่ออัลเบิร์ตมองเห็นหนูขาว เขาจะร้องไห้หวาดกลัว
และสิ่งที่น่าสนใจคือ
เมื่อเวลาผ่านไป ความหวาดกลัวนั้นเชื่อมโยงไปยังสิ่งอื่น
เช่น หวาดกลัวกระต่ายสีขาวขนปุกปุย เสื้อโค้ตสีขาวที่ดูนุ่ม จนถึงเคราสีขาวของซานตาคลอส
1. การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้ และอาจเป็นต้นกำเนิดของอาการกลัวแบบโฟเบีย (Phobia) ซึ่งเป็นความหวาดกลัวอย่างรุนแรงโดยไม่มีเหตุผล (เช่น กลัวในสิ่งที่ไม่มีอันตรายใดๆกับชีวิต)
2. การทดลองนี้กลายเป็นกรณีศึกษาว่าด้วยจริยธรรมในการทดลอง
ซึ่งในปัจจุบัน ไม่สามารถทำการทดลองที่โหดร้ายในลักษณะนี้ได้
(ชะตากรรมของ เด็กน้อยอัลเบิร์ตนั้นเป็นปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเติบโตมาแล้วเป็นอย่างไร)
3. นักจิตวิทยาพบว่าไม่เพียงแต่ทารกเท่านั้น ที่มีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข พฤติกรรมหลายอย่างของมนุษย์เราถูกอธิบายได้ด้วยการวางเงื่อนไข กลิ่นบางกลิ่น เพลงบางเพลง อาจกระตุ้นให้เรารู้สึกบางอย่างขึ้นมาได้
ศึกษาโดย Wendell Johnson
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม วิวน้อยวิวพ้อย
ศึกษาโดย Dr. Solomon Asch
เป็นผู้บุกเบิกจิตวิทยาสังคมได้ทำการทดลองในเรื่องของการรับรู้
โดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองให้อธิบายว่ารูปภาพไหนยาวสุด ซึ่งเงื่อนไขการทดลองนี้คือมีผู้ถูกทดลองเพียงแค่คนเดียวในขณะคนที่เหลือคือถูกเตรียมการมาก่อนซึ่งเตรียมให้ตอบผิด โดยให้รูปภาพมาเป็นเส้นตรง 3 เส้น ซึ่งผลก็คือผู้เข้าร่วมการทดลองส่วนใหญ่มักจะตอบผิดตามที่เขาเตรียมกันมา
ซึ่งผลการทดลองนี้ สามารถสรุปได้ว่าธรรมชาติของมนุษย์คือการปฏิบัติตามมาตรฐานของกลุ่มสังคมนั้นๆ นั่นคือมนุษย์มุ่งเน้นที่จะปฏิบัติถูกต้องตามมาตรฐานสังคมมากกว่าเลือกปฏิบัติในทางที่ถูกต้องโดยความเป็นตัวเรานั่นเอง
การทดลองนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ทำให้เห็นว่าคนเราจะต่อสู้กันเพื่อสิ่งที่ต้องการและร่วมมือ กันในยามจำเป็น อีกทั้งยังแสดงให้เห็นอีกว่าคนสองกลุ่มนี้ สามารถเกิดความขัดแย้งได้ง่ายเพียงใด
ในเวลาต่อมาก็ได้มีการจัดการทดลองในลักษณะนี้อีก ซึ่งผลที่ตามมาคือเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเด็กสองกลุ่ม ในการทดลองครั้งนี้
ศึกษาโดย คู่สามีภรรยานักจิตวิทยา Muzafer Sherif และ Carolyn Wood Sherif
ได้จัดการทดลองเพื่อศึกษาพฤติกรรมของการทำให้คนสองฝ่ายเกลียดกัน
นำเด็กอายุตั้งแต่ 11-12 ปีจำนวน 22 คนมาเข้าค่ายในพื้นที่ 300 เอเคอร์ในโอคลาโฮมา เด็กทั้ง 22 คนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
โดยเริ่มแรกนั้น จะแบ่งเด็กออกเป็น สองกลุ่ม โดยแบ่งตามลักษณะของเด็กที่มีความเหมือนกันจะอยู่กลุ่มเดียวกัน และเด็กทั้งสองกลุ่มนี้จะไม่รู้มาก่อนว่ามีอีกกลุ่มอยู่ด้วย
ขั้นต่อมาคือการกำหนดภารกิจให้เด็กสองกลุ่มนี้แข่งขันกันเองเพื่อชัยชนะของกลุ่ม โดยมีของรางวัลราคาแพงเป็นตัวล่อ ในขั้นตอนนี้ เด็กทั้งสองกลุ่มเริ่มเขม่นกันและไม่ถูกกันอย่างเห็นได้ชัด มีการทำลายข้าวของ และเริ่มปะทะกันจริงๆ
ขั้นตอนที่สาม เด็กทั้งสองกลุ่มนี้ต้องมาร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอด โดยจะสร้างสถานการณ์ต่างๆ ที่เด็กสองกลุ่มนี้ต้องช่วยกันถึงจะผ่านไปได้ และความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองกลุ่มนี้ก็ดีขึ้นด้วย
ศึกษาโดย Henry A. Landsberger
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม การ์ดไม่ตก วิวพ๊อยชนะ
ศึกษาโดย George Miller
เป็นการทดลองเกี่ยวกับความสามารถของสมองที่ทำการบันทึกข้อมูลได้ในระยะสั้นว่า ความจำช่วงระยะสั้นของคนเรามีความสามารถสูงสุดแค่ไหน
ซึ่งหมายความว่าประสิทธิภาพสูงสุดของมนุษย์ในการตัดสินแบบมิติเดียวสามารถอธิบายได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความจุสูงสุดประมาณ 2 ถึง 3 Bit ของข้อมูลโดยมีความสามารถในการแยกแยะ
ทางเลือกระหว่าง 4-8 ทางเลือก
ผลของการทดลองก็ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่จะสามารถจำข้อมูลระยะสั้นได้คือ
7 ± 2 หมายความว่ามนุษย์สามารถจำได้ตั้งแต่ 5-9 ส่วนของข้อมูล
กล่าวถึงความสอดคล้องกันระหว่างขีดจำกัดของการตัดสินแบบมิติเดียวกับขีด จำกัดของความจำระยะสั้นในงานการตัดสินแบบหนึ่งมิติบุคคลจะได้รับ
สิ่งเร้าที่แตกต่างกันไปในมิติเดียว (เช่น10โทนเสียงที่แตกต่างกันในระดับเสียงเดียว) และตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการตอบสนองที่สอดคล้องกัน (เรียนรู้มาก่อน) สิ่งเร้าที่แตกต่างกัน 5-6 มีประสิทธิภาพเกือบจะสมบูรณ์ แต่จะลดลงเมื่อจำนวนสิ่งเร้าที่แตกต่างกันเพิ่มขึ้น
ศึกษาโดย Leon Festinger and James Carlsmith
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม ฉันโดนวิวพอยท์รัด
ศึกษาโดย Harry Harlow
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม จิตใจตรงกันผูกพันรักใหม่
ศึกษาโดย นักจิตวิทยาสังคมสองคนจากมหาวิทยาลัย Cornell ชื่อ Eleanor J. Gibson และ Richard D. Walk
การทดลองนี้เกิดจากการที่นักวิทยาศาสตร์เองไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเด็กจึงรู้ว่า ความสูงเท่ากับอันตราย ทั้งๆที่เด็กเหล่านี้ไม่เคยตกจากที่สูงมาก่อน จึงทำการทดลองเด็กโดยสร้างสถานการณ์ที่จะโน้มน้าวให้เด็กคลานผ่านที่สูงที่ดูอันตราย
สร้างโต๊ะแบบพิเศษที่เรียกว่า หน้าผาจำลอง (Visual cliff) ที่ครึ่งหนึ่งเป็นโต๊ะไม้ทึบๆ
แต่อีกครึ่งหนึ่งเป็นกระจกใสๆจนดูเหมือนไม่มีอะไรรองอยู่ จากนั้นก็วางทารกลงตรงด้านโต๊ะทึบแล้วให้แม่เด็กพยายามเรียกและหลอกล่อเด็ก
ให้มาอีกฝั่งที่เป็นกระจกใสๆเพื่อดูว่าเด็กจะทำอย่างไร
ถึงแม้จะดูไม่อันตรายเพราะยังไงเด็กก็ไม่ได้ตกจากโต๊ะจริงๆแต่การทดลองนี้มีผลทำให้เด็ก เกิดความสับสนและขวัญเสียเมื่อแม่ของตัวเองพยายามเรียกให้มาหาทั้งๆ ที่เด็กก็เข้าใจว่าทางข้างหน้าเป็นที่สูงและอันตราย "เด็กจะถูกบังคับให้เลือกระหว่างสัญชาตญาณการป้องกันตัวเองกับการเชื่อฟังแม่"
นักจิตวิทยาทำการทดลองกันทารก 36 คน อายุตั้งแต่ 6-14 เดือนและจากในจำนวนทั้งหมดมีเพียง 3 คนเท่านั้น ที่ยอมคลานผ่านหน้าผาไป หาแม่ ส่วนที่เหลือจะนิ่งอยู่กับที่ไม่ก็คลานหนีไปห่างๆ บางคนก็ร้องไห้ด้วยความสับสน อย่างไรก็ตาม มีการสังเกตกันว่าทารกที่ไม่ยอมคลานข้ามมาก็จะพยายามอยู่ใกล้กับขอบให้มากที่สุดจนถึงขนาดที่ถ้าเป็นขอบจริงๆ เด็กคงจะตกลงไปแล้ว
ดังนั้น ถึงแม้เด็กทารกจะเข้าใจอันตรายของความสูงแล้วแต่ก็ไม่ควรจะ
ปล่อยเด็กไว้คนเดียวอยู่ดีเพราะการกะระยะยังไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่นั่นเอง
เขาได้ศึกษาพฤติกรรมของเด็ก ๆหลังจากที่พวกเขาได้ดู model ผู้ใหญ่ที่เป็นมนุษย์
แสดงท่าทีก้าวร้าวต่อตุ๊กตา Bobo การทดลองนี้มีหลายรูปแบบ แต่การทดลองที่โดดเด่นที่สุดคือวัดพฤติกรรมของเด็ก ๆ หลังจากที่เห็นmodelของการทดลองได้รับรางวัล ถูกลงโทษหรือไม่ได้รับอะไร จากการทำร้ายร่างกายตุ๊กตา Bobo
การทดลองเป็นวิธีเชิงประจักษ์เพื่อทดสอบทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของ Bandura ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมอ้างว่าคนส่วนใหญ่เรียนรู้โดยการสังเกตเลียนแบบและ การสร้างแบบจำลองแสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่เพียงเรียนรู้ จากการได้รับรางวัลหรือการลงโทษ (operant conditioning) แต่พวกเขายังสามารถเรียนรู้จากการดูคนอื่นได้รับรางวัลหรือถูกลงโทษ (observational learning)
การทดลองเหล่านี้มีความสำคัญเนื่องจากทำให้เกิดการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลของ
การเรียนรู้แบบสังเกตข้อมูลใหม่จากการศึกษานี้มีผลในทางปฏิบัติ
เช่น โดยการแสดงหลักฐานว่าเด็ก ๆ จะได้รับอิทธิพลจากการดูสื่อที่มีความรุนแรงได้อย่างไร
ในการทดลองนี้มีผู้เข้าร่วมการทดลองเป็นเด็กชาย 36 คนและเด็กหญิง 36 คนจากโรงเรียนอนุบาลแห่ง Stanford University สำหรับการทดลองได้แบ่งเด็กออกเป็น สามกลุ่ม คือ เด็ก 24 คนได้รับแบบจำลองก้าวร้าวและอีก 24 คนได้รับแบบจำลองไม่ก้าวร้าว แต่ละกลุ่มได้รับการทดลองแบบสหศึกษา สำหรับการทดลองเด็กแต่ละคนได้สัมผัสกับสถานการณ์เป็นรายบุคคลเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมชั้นชักจูงหรือเบี่ยงเบนความสนใจ ส่วนแรกของการทดลอง ผู้ทดลองนำเด็กและผู้ใหญ่เข้ามาในห้องเด็กเล่น ซึ่งก่อนออกจากห้องผู้ทดลองอธิบายให้เด็กฟังว่าของเล่นในมุมของผู้ใหญ่มีไว้ให้ผู้ใหญ่เล่นเท่านั้น
ในระหว่างสถานการณ์จำลองที่ก้าวร้าว ผู้ใหญ่จะเริ่มเล่นกับตุ๊กตา Bobo จากนั้นจะเริ่มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อตุ๊กตา หลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที ผู้ทดลองกลับเข้ามาในห้องไล่ model ผู้ใหญ่และพาเด็กเข้าไปในห้องเด็กเล่นอื่น
โมเดลผู้ใหญ่ที่ไม่ก้าวร้าวเพียงเล่นกับของเล่นอื่น ๆ ตลอดระยะเวลา 10 นาที ในสถานการณ์ที่ไม่ก้าวร้าวนี้ตุ๊กตาBobo จะถูกmodelเพิกเฉยโดยสิ้นเชิงจากนั้นเด็กก็จะถูกนำออกจากห้อง
Bandura พบว่าเด็กที่ได้สัมผัสกับรูปแบบก้าวร้าวมีแนวโน้มที่จะติดตามพฤติกรรมก้าวร้าวทางร่างกายมากกว่าเด็กที่ไม่ได้สัมผัสกับรูปแบบ
ที่ก้าวร้าว ในส่วนของรูปแบบที่ก้าวร้าวจำนวนของความก้าวร้าวทางกายภาพที่แสดงออกโดยเด็กชายมากกว่าในเด็กผู้หญิง ผลลัพธ์ที่เกี่ยวกับความแตกต่างทางเพศตรงกับการคาดการณ์ของ Bandura ว่าเด็กๆได้รับอิทธิพลจากmodelเพศเดียวกัน
มากกว่าเพศตรงข้าม ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าเด็กผู้ชายแสดงความก้าวร้าวเมื่อสัมผัสกับ model ผู้ชายที่ก้าวร้าวมากกว่า
ผู้หญิงที่ก้าวร้าว เมื่อสัมผัสกับmodelผู้ชายที่ก้าวร้าวจำนวนความก้าวร้าวที่แสดงโดยเด็กผู้ชายเฉลี่ย
สำหรับการศึกษาปีค.ศ. 1963 Badura อยากจะเปลี่ยนแปลงการศึกษาในปีค.ศ. 1961 โดยดูว่ามีความแตกต่างในพฤติกรรมก้าวร้าวเลียนแบบหลังจากที่ได้เห็นการถ่ายทำการ์ตูนหรือการ์ตูนเมื่อเปรียบเทียบกับmodelแบบ live นอกจากนี้เขายังต้องการดูว่าเด็ก ๆ ที่ดูพฤติกรรมก้าวร้าวจากภาพยนตร์หรือ
โมเดลการ์ตูน จะได้รับผลกระทบจากการเห็นนักแสดงแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวหรือไม่
สำหรับการทดลอง เด็ก 96 คนเด็กหญิง 48 คนและเด็กชาย 48 คนจากสถานรับเลี้ยงเด็กของ Stanford University แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรก ดูmodel แบบ live ที่ก้าวร้าวต่อตุ๊กตาBobo กลุ่มที่สองดูหนังที่มนุษย์ก้าวร้าวต่อตุ๊กตาBobo และกลุ่มที่สามดูแมวในเวอร์ชั่นการ์ตูนก้าวร้าวต่อตุ๊กตาBobo เด็กแต่ละคนดูการกระทำที่ก้าวร้าวเป็นรายบุคคลเพื่อควบคุมอคติของกลุ่ม กลุ่มควบคุมนั้นเด็กจะไม่ได้ดูmodel หลังจากได้สัมผัสกับmodelของพวกเขาแล้วเด็กทั้งสามกลุ่มก็ถูกจัดให้อยู่ในห้องที่มีผู้ทดลองซึ่งพวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าว ถัดไปเด็ก ๆ ได้รับอนุญาตให้เล่นอย่างอิสระในห้องที่อยู่ติดกันซึ่งเต็มไปด้วยของเล่นรวมทั้ง ตุ๊กตาBobo และ "อาวุธ" ที่modelใช้ นักวิจัยได้สังเกตเด็กๆ และสังเกตการมีปฏิสัมพันธ์กับตุ๊กตาBobo
ผลการศึกษาพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมกับทั้งสามกลุ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกัน Banduraจึงสรุปว่าเด็กๆจะเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวที่พวกเขาเห็นจากmodelไม่ว่าใครจะเป็นใครหรืออย่างไร นอกจากนี้เขายังพบว่าการเฝ้าดูพฤติกรรมก้าวร้าวไม่ก่อให้เกิดผลในการปลดปล่อยอารมณ์ ผลการศึกษานี้มีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากมีส่วนร่วมในหัวข้อที่ถกเถียงกันว่าสื่อที่มีความรุนแรงสามารถส่งผลให้เด็กก้าวร้าวมากขึ้นได้หรือไม่
สำหรับการศึกษาของเขาในปีค.ศ. 1965 Badura ต้องการดูว่าพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะได้รับอิทธิพลจากการเสริมกำลังหรือไม่ หรือการเลียนแบบพฤติกรรมที่สังเกตเห็นในอีกบุคคลหนึ่งหลังจากเห็นว่าบุคคลนั้นได้รับการเสริมแรงสำหรับพฤติกรรมดังกล่าว
ในการทดลองเด็ก 66 คนเด็กชาย 33 คนและเด็กหญิง 33 คนถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มแรกจะได้เห็น modelที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวต่อตุ๊กตาBobo ตามด้วยนักวิจัยชมเชย model สำหรับพฤติกรรมของเขาและให้รางวัลแก่เขาเป็นขนม
กลุ่มที่สอง จะเป็นพยานในสถานการณ์เชิงพฤติกรรมพฤติกรรมก้าวร้าวเหมือนกัน แต่รูปแบบนั้นถูกตำหนิแทนการกระทำของ model และตีด้วยม้วนหนังสือพิมพ์
กลุ่มที่สามทำหน้าที่เป็นกลุ่มควบคุมและmodelไม่ได้รับรางวัลหรือถูกลงโทษหลังจากพฤติกรรมที่แสดงออกมา เด็กจะดูเป็นรายบุคคลเพื่อควบคุมอคติของกลุ่ม หลังจากนั้นเด็กแต่ละคนจะถูกจัดให้อยู่ในห้องที่มีโครงสร้างคล้ายกันกับห้องที่เห็นเป็นเวลา 10 นาทีและผู้ทดลองจะให้คะแนนเด็กตามจำนวนและรูปแบบของพฤติกรรมก้าวร้าวที่พวกเขากระทำ การทดลองจะถูกทำซ้ำเป็นครั้งที่สองและครั้งนี้เด็ก ๆ
จะได้รับแรงจูงใจด้วยรางวัลต่าง ๆ รวมถึงขนมน้ำผลไม้และสติ๊กเกอร์เพื่อเลียนแบบพฤติกรรมที่พวกเขาเพิ่งได้เห็น
การทดลองเหล่านี้ี้ชี้ให้เห็นว่าผู้คนเรียนรู้โดยการสังเกต และเลียนแบบ ยิ่งไปกว่านั้นมันชี้ให้เห็นโดยเฉพาะว่าผู้คนไม่เพียงเรียนรู้จากการได้รับ รางวัลหรือการลงโทษตามที่เห็นกันทั่วไปในพฤติกรรมนิยม แต่จากการเฝ้าดูผู้อื่นได้รับรางวัลหรือการลงโทษอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของพวกเขา (observational learning)
การทดลองมีความสำคัญเนื่องจากส่งผลให้เกิดการศึกษาเพิ่มเติม
ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบสังเกต นอกจากนี้ข้อมูลยังนำเสนอสมมติฐานการทำงานที่ใช้ได้จริงเพิ่มเติมเช่น
เกี่ยวกับการที่เด็ก ๆ อาจได้รับอิทธิพลจากการดูสื่อที่มีความรุนแรง
ผลการศึกษาพบความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างกลุ่มให้รางวัลกับกลุ่มควบคุมอย่างไรก็ตามกลุ่มลงโทษแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวน้อยกว่ามากโดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง ในทั้งสามกลุ่มแรงจูงใจส่วนบุคคลมีผลอย่างมากในการเพิ่มพฤติกรรมก้าวร้าว
สำหรับทั้งเด็กชายและเด็กหญิง การวิเคราะห์การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการเสริมแรงและการลงโทษ
ไม่ได้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมก้าวร้าวที่เรียนรู้ แต่เป็นการแสดงออกภายนอกเท่านั้น
ผลจากการทดลองแสดงให้เห็นว่า เด็กทารกวัยแรกเกิดมีความสนใจในการมองภาพลวดลายมากเป็น 2 เท่าของ
การมองภาพสีพื้น โดยเด็กวัยแรกเกิดมีการตอบสนองต่อภาพเป้าหมายทั้ง 6 ภาพ ภาพแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญ จากการทดลองก่อนหน้านี้ ภาพที่เด็กจับจ้องนานที่สุดคือภาพ ลายหน้าคน รองลงมาคือภาพลายวงกลม ตามมาด้วยภาพลายหนังสือพิมพ์ ส่วนแผ่นภาพเป้าหมายที่มีลักษณะ เป็นสีพื้นไม่ได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ ในการทดลองครั้งนี้ พบว่าเด็กทารกแรกเกิด 3 คนสามารถอยู่ในกระบวนการ ทดสอบได้อย่างสมบูรณ์พอที่จะชี้ให้เห็นถึง
การตอบสนองที่คงเส้นคงวา โดยเด็กคนหนึ่งจับจ้องนานที่สุดกับภาพลายหน้าคน และเด็กอีกคนหนึ่งจับจ้องนานที่สุดกับภาพลายตาวัว ส่วนเด็กที่มีอายุ 10 ชั่วโมง จับจ้องนานที่สุดกับภาพลายหน้าคน
ศึกษาโดย Robert L. Fantz
ได้ศึกษาเรื่องความสามารถในการรับรู้ภาพของเด็กวัยแรกเกิด โดยนำแผ่นภาพจำนวนหนึ่งที่มีลวดลายและสีสันต่างๆ
โดยทดสอบเด็กทารกวัย 2-6 เดือน จำนวน 25 คน ซึ่งผลจากการทดลอง พบว่า ในช่วงเดือนแรกๆของชีวิต เด็กมีความสามารถในการรับรู้ภาพที่ดีพอสมควร คือเด็กสามารถแยกแยะ ลวดลายริ้วๆ ได้ นอกจากนี้เด็กยังมีความสนใจมองภาพที่มีลักษณะเป็นลวดลาย มากกว่าการมองภาพสีพื้นที่ไม่มีลวดลาย ไม่เพียงเท่านี้ เด็กยังสามารถแยกแยะความแตกต่างของลวดลายได้ และ แสดงความสนใจต่อลวดลายที่มีลักษณะคล้ายใบหน้าคนมากที่สุด
จากผลการทดลองดังกล่าว Robert L. Fantz ได้ทำการศึกษาครั้งใหม่ ในการศึกษาครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างคือ เด็กทารกจำนวน 18 คน ที่มีอายุตั้งแต่10 ชั่วโมงถึง 5 วัน โดย ระยะเวลาในการจับจ้องไปยังภาพเป้าหมายแต่ละภาพจะถูกสังเกตผ่านรูขนาดเล็กรูหนึ่ง
ที่เพดานด้านบนของ อุโมงค์ทดสอบการมองเห็น และจับเวลาด้วยนาฬิการจับเวลา การจับเวลาขะเริ่มต้นทันทีที่ตาของเด็กทารกข้างใดข้างหนึ่ง มองตรงไปที่ภาพเป้าหมาย และหยุดจับเวลาเมื่อเด็กมองไปทางอื่นหรือ
หลับตา ภาพเป้าหมายทั้ง 6 ภาพ จะถูกนำเสนอให้เด็กแต่ละคนได้เห็นด้วยการสุ่ม โดยนำเสนอชุดภาพซ้ำ 8 ครั้ง ครั้งที่สมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะถูก รวมเข้าไปในการคำนวณเปอร์เซ็นต์ในการจับจ้องมองภาพเป้าหมายแต่ละภาพ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง นายทหารนาซีเยอรมันระดับสูงและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวจึงถูกจับกุมและถูกพิพากษาให้ได้รับโทษประหารชีวิต ถึงแม้ว่า อาด็อล์ฟ ไอช์มัน จะพยายามต่อสู้ให้ตัวเองพ้นจากข้อกล่าวหา โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการทำตามคำบังคับบัญชาเท่านั้น ซึ่งเป็นคำสั่งที่เขาเองปฏิเสธไม่ได้
แต่คำแก้ตัวของทหารนาซีเยอรมันกลับทำให้ สแตนลีย์ มิลแกรม (Stanley Milgram) นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกัน เกิดความสงสัยถึงโอกาสและความเป็นไปได้ที่คนเราจะกล้าทำร้ายและฆ่าคนจากคำสั่งของคนอื่น โดยเฉพาะคำสั่งจากคนที่มีอำนาจ
ศึกษาโดย Stanley Milgram นักจิตวิทยาสังคมชาวอเมริกัน
เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเชื่อฟัง (obedience) ผู้มีอำนาจ (authority) ในมนุษย์
มิลแกรมเริ่มต้นด้วยการประกาศลงในหนังสือพิมพ์เพื่อหาอาสาสมัครเข้าร่วมการศึกษาเกี่ยวกับความจำและการเรียนรู้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
นักวิจัยผู้มีทีท่าจริงจังและเข้มงวดจะพาผู้ทดลองพร้อมกับอาสาสมัครอีกคนหนึ่งเข้ามาในห้องทดลอง พร้อมอธิบายรายละเอียดว่าทั้งสองคนต้องแบ่งหน้าที่กัน คนหนึ่งเป็นผู้สอน (T: Teacher) ส่วนอีกคนเป็นผู้เรียน (L: Learner) โดยผู้สอนจะบอกชุดคำศัพท์ให้ผู้เรียนจดจำ จากนั้นผู้สอนจะถามคำถามทดสอบความจำ ผู้เรียนจะต้องตอบให้ถูกต้อง แต่ถ้าตอบผิดจะถูกทำโทษโดยการช็อตไฟฟ้า
ต่อมาแต่ละคนถูกแยกให้อยู่คนละห้องที่มีกำแพงกั้นไว้ นักวิจัยจะสอนการใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าที่มีสวิตช์ไว้ปรับความแรงไฟฟ้าได้ 30 ระดับ เริ่มจากแรงไฟฟ้าขนาด 15 โวลต์ ไปจนถึงแรงไฟฟ้าสูงสุดขนาด 450 โวลต์ ซึ่งความแรงไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นที่ละ 15 โวลต์ตามจำนวนสวิตช์ที่เปิด
"นักวิจัยบอกให้ผู้สอนเริ่มอ่านคำถามและตัวเลือกเพื่อให้ผู้เรียนเลือกตอบ ถ้าเขาตอบผิดขึ้นมา จะต้องเปิดสวิตช์ช็อตไฟฟ้าทันที ซึ่งจะเพิ่มความแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนคำถามที่ผู้เรียนตอบผิด"
เมื่อผู้เรียนตอบผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ทดลองจึงช็อตไฟฟ้าไปเรื่อยๆ ผู้ทดลองเปิดสวิตช์ความแรงไฟฟ้า 120 โวลต์ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานไฟฟ้า (110 โวลต์) ที่สหรัฐอเมริกาใช้อยู่ด้วยซ้ำ เสียงผู้เรียนยังคงร้องโหยหวนทุกครั้งที่โดนซ็อตไฟฟ้า จนถึงความแรงไฟฟ้า 300 โวลต์ เมื่อผู้ทดลองเปิดสวิตช์ช็อตเป็นครั้งที่ 20 ผู้เรียนเอามือทุบโต๊ะและกำแพงซ้ำๆ ทันที พร้อมขอร้องให้ผู้ทดลองหยุดช็อตไฟฟ้า เมื่อได้ยินดังนั้น *ผู้ทดลองอยากหยุดการทดลองไว้เพียงเท่านี้ แต่นักวิจัยกลับบอกว่าการช็อตไฟฟ้าจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดชั่วครู่เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ทำให้ผู้เรียนพิการหรือบาดเจ็บจนเกิดแผลเป็นถาวรแต่อย่างใด
หลังจากเริ่มทดลองไปได้ไม่นาน ผู้เรียนก็ตอบผิดเป็นข้อแรก ผู้ทดลองจึงเปิดสวิตช์ช็อตตามที่นักวิจัยบอกไว้ กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ทำให้รู้สึกคันเล็กน้อย แล้วทุกอย่างก็ดำเนินต่อไป ยิ่งตอบผิด ผู้ทดลองยิ่งต้องเปิดสวิตช์ช็อตไฟฟ้า จากนั้นจะเริ่มได้ยินเสียงร้องดัง โอ๊ย! เพราะความเจ็บของผู้เรียน ซึ่งอาจทำให้รู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง แต่ผู้สอนก็ยังถามคำถามต่อไปเป็นปกติ จนกระทั่งได้ยินเสียงผู้เรียนอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาตะโกนขอร้องดังมากกว่าเดิมด้วยความเจ็บปวด ผู้ทดลองหลายคนเริ่มกังวลใจ ความลังเลที่จะตัดสินใจนี้ทำให้หันหน้าไปหานักวิจัย ซึ่งเขายืนยันให้ผู้ทดลองทำต่อไป
ผลสรุปการทดลองนี้
ผู้ทดลองในตอนนั้นเกิดความรู้สึกเครียดอย่างมาก เพราะเข้าใจว่าตัวเองได้ทำร้ายคนอื่น นักวิจัยจึงเฉลยการทดลองที่แท้จริงให้คุณได้รู้ เพราะต้องการยืนยันว่าทุกคนปลอยภัยดี ไม่ได้ถูกไฟฟ้าช็อตอย่างที่คุณเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทดลองเป็นเพียงการแสดงตบตาเพื่อค้นหาความจริงบางอย่าง ซึ่งมิลแกรมพบว่ามันเป็นความจริงที่น่ากลัวกว่าที่คาดคิดไว้มากทีเดียว
ความจริงคือทุกอย่างถูกจัดฉากขึ้นมาทั้งหมด ตั้งแต่อาสาสมัครที่ได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้เรียนก็คือนักวิจัยอีกคนหนึ่ง สลากที่จับก็เขียนคำว่า Teacher ไว้ทั้งสองใบ เครื่องช็อตไฟฟ้าก็ปล่อยความแรงไฟฟ้าตามที่เขียนไว้ไม่ได้จริง สายไฟและอุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับข้อมือของผู้เรียนก็เป็นของปลอม รวมถึงเสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดก็เป็นแค่เสียงเทปที่อัดไว้ล่วงหน้าเท่านั้น
ความจริงของการทดลองนี้จึงอยู่ที่ชุดคำสั่งของนักวิจัยที่ใช้พูดกับอาสาสมัครทั้ง 40 คน ซึ่งถูกกำหนดให้ทำหน้าที่เป็นผู้สอน เมื่อใดก็ตามที่อาสาสมัครเหล่านี้เริ่มกังวลจนไม่อยากช็อตไฟฟ้าต่อ หรือร้องขอให้หยุดการทดลอง นักวิจัยจะออกคำสั่งตามลำดับความเด็ดขาดต่อไปนี้
1) Please continue. / Please go on. (กรุณาทำต่อไป)
2) The experiment requires that you continue. (การทดลองนี้ต้องการให้คุณทำต่อไป)
3) It is absolutely essential that you continue. (มันจำเป็นจริงๆ ที่คุณต้องทำต่อไป)
4) You have no other choice, you must go on. (คุณไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำต่อไป) เพื่อดูว่าอาสาสมัครจะเชื่อฟังคำสั่งจากผู้มีอำนาจมากน้อยแค่ไหน เมื่อสิ่งที่ถูกสั่งให้ทำคือการทำร้ายคนอื่นซึ่งเป็นความขัดแย้งกับจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี (conscious)
คำตอบที่ได้จากผลการทดลองน่าตกตะลึงอย่างมาก เพราะอาสาสมัครจำนวนทั้งหมด 40 คน เปิดสวิตช์ช็อตไฟฟ้าถึง 300 โวลต์ และมีอาสาสมัครจำนวน 24 คน (65%) ที่เปิดสวิตช์ช็อตไฟฟ้าใส่คนที่ไม่รู้จักมาก่อนจนถึงความแรงสูงสุดที่ 450 โวลต์ เพราะเชื่อฟังคำสั่งจากนักวิจัย
การทดลองของมิลแกรมจึงแสดงให้เห็นความจริงที่ว่า คนเรามีแนวโน้มเชื่อฟังคำสั่งจากผู้มีอำนาจ แม้จะต้องทำร้ายคนอื่นจนถึงตายก็ตาม และต่อให้จะรู้สึกไม่เต็มใจ แต่ถ้ารู้ว่าตนเองไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำนั้น ก็จะยิ่งทำตามคำบัญชานั้นได้ง่ายขึ้นไปอีก
ศึกษาโดย Stanley Schachter และ Jerome E. Singer
โดยพวกเขาทำการทดลองแบบเจาะลึกเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีอารมณ์ Two-Factor Theory of Emotion
Schachter และ Singer ได้ทดสอบทฤษฎีของเขาในปี ค.ศ. 1962 กับนักศึกษาชายจำนวน 184 คน เพื่อศึกษาว่า
บุคคลใช้ข้อมูลในสภาพแวดล้อมมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายอย่างไร ทั้งความรู้สึกตื่นตัวที่เกิดกับร่างกาย และอารมณ์ที่ได้รับการกระตุ้นจากความตื่นตัว Schachter และ Singer
นักศึกษาทุกคนได้รับแจ้งว่า ยาที่ฉีดคือยาใหม่ชื่อ Suproxin เพื่อทดสอบความสามารถในการมองเห็น แต่ตามความเป็นจริง นักศึกษาได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
• กลุ่มที่หนึ่ง (Epinephrine informed) ได้รับการฉีด epinephrine หรือ adrenaline และได้รับแจ้งว่าอาจมีผลข้างเคียง เช่น มือสั่น หัวใจเต้นแรง หน้าชาและ
กลุ่มนี้ได้รับความคาดหวังว่า เมื่อรู้สึกถึงความตื่นตัวทางร่างกายอันเป็นผลจากการได้รับสารกระตุ้นแล้ว เมื่อมีอารมณ์กับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ก็จะเข้าใจได้ว่า อารมณ์ของตนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากผลข้างเคียงของยา ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีขึ้น
• กลุ่มที่สอง (Epinephrine ignorant) ได้รับการฉีด epinephrine แต่ไม่ได้รับแจ้งว่าจะมีผลข้างเคียงจากการฉีดยาอย่างไร
กลุ่มนี้ได้รับความคาดหวังว่า เมื่อไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ว่าอารมณ์ของตนมีสาเหตุมาจากอะไร ก็จะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนที่เกิดขึ้นได้
• กลุ่มที่สาม (Epinephrine misinformed) ได้รับการฉีด epinephrine และได้รับแจ้งข้อมูลที่เป็นเท็จว่าจะรู้สึกขาชา คันตามร่างกาย และมึนหัวเล็กน้อย
กลุ่มนี้ได้รับความคาดหวังว่า เมื่ออาการที่เกิดขึ้นไม่ตรงกับคำที่ได้รับแจ้ง จึงไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายความรู้สึกตื่นตัวของตนได้ การควบคุมอารมณ์จึงไม่น่าต่างจากกลุ่มที่สอง
• กลุ่มที่สี่ (Control group) ได้รับการฉีดยาหลอก (placebo) และไม่ได้รับแจ้งว่าจะมีอาการข้างเคียงใดๆ กลุ่มนี้ถูกใช้เป็นกลุ่มควบคุมเพราะเป็นกลุ่มที่ไม่มีการตื่นตัวทางร่างกาย อารมณ์ไม่ได้ถูกกระตุ้นด้วยอำนาจของยา อารมณ์ที่มีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าจึงไม่รุนแรงเหมือนสามกลุ่มแรกที่ถูกฉีดสารกระตุ้น
มีแนวคิดหลักว่า อารมณ์เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสองปัจจัย
คือ ความตื่นตัวทางร่างกาย (physiological arousal) กับ การลงความเห็นทางปัญญา (cognitive label) โดยความตื่นตัวทางร่างกายจะได้รับการตีความตามปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจของบุคคลในแต่ละสถานการณ์ ส่งผลให้เกิดเป็นอารมณ์หรือความรู้สึก บุคคลจะตีความสิ่งเร้าตามประสบการณ์ในอดีตของตนเป็นหลัก และอาศัยบริบทของสถานการณ์ในขณะนั้นเป็นส่วนประกอบ
เช่น ถ้าคุณไปเห็นงูที่สวนหลังบ้าน งูที่เห็นจะไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
ระบบประสาทอัตโนมัติให้เกิด ความตื่นตัวทางร่างกาย สมองจะตีค่า (label) ความตื่นตัวออกมาเป็นความกลัว ความกลัวนี้คืออารมณ์ซึ่งจะมากหรือน้อย เพียงใดขึ้นกับบริบทหรือเงื่อนไขประกอบ
เช่น งูมีขนาดเท่าไร ห่างจากคุณเท่าไร คุณมีอุปกรณ์ป้องกันตัวหรือไม่ เคยมีประสบการณ์การเผชิญหน้ากับงูมาก่อนหรือไม่
"ลำดับขั้นของการเกิดอารมณ์จึงเริ่มจากการที่บุคคลเกิดความตื่นตัวทางร่างกาย หลังจากนั้นสมองจะหาเหตุผลมา
อธิบายความรู้สึก โดยทั่วไปก็โดยใช้ประสบการณ์มาพิจารณาว่าสิ่งที่เข้ามาเร้าให้เกิดความตื่นตัวนั้นคืออะไร มีสิ่งประกอบอื่นเข้ามาเสริมหรือลดค่าของสิ่งเร้านั้นหรือไม่ เพียงใด แล้วจึงเกิดเป็นอารมณ์"
เหตุการณ์ > ความตื่นตัวทางร่างกาย > การให้เหตุผล > อารมณ์
หลังจากฉีดยาให้นักศึกษาครบทุกคนแล้ว ผู้วิจัยได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปพูดคุยกับนักศึกษา แสดงท่าทีโมโหโกรธเคือง
บ้าง แสดงอารมณ์เบิกบานมีความสุขบ้าง โดยมีผู้วิจัยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก มองผ่านกระจกที่เห็นจากภายนอกด้านเดียวและให้คะแนนสภาวะอารมณ์ของนักศึกษาเป็นสามลำดับ หลังจากนั้นจึงให้นักศึกษาตอบแบบสอบถามแบบให้คะแนนตั้งแต่ 1-5 (Likert Scale) และวัดการเต้นของหัวใจ
ผลของการทดลองนี้
นักศึกษาที่ไม่ทราบว่าทำไมพวกเขาจึงมีความรู้สึกตื่นตัว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับแจ้งเรื่องผลข้างเคียงของยา
และกลุ่มที่ได้รับข้อมูลมาไม่ตรงกับอาการที่ตนรู้สึก จะเข้าใจว่าความรู้สึกนั้นเป็นผลมาจากการแสดงออกของนักวิจัย และจะมีอารมณ์คล้อยตามไปตามสิ่งที่ปรากฏนั้นในระดับที่มากกว่ากลุ่มที่มีข้อมูลและกลุ่มที่ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง
ในร่างกาย Schachter และ Singer สรุปผลการทดสอบนี้ว่าเป็นไปตามสมมุติฐานของเขา คือ อารมณ์ของบุคคล เป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างความตื่นตัวของร่างกาย กับ สภาพแวดล้อม (การได้ทราบข้อมูลเรื่องผลกระทบของยา) เมื่อบุคคลเข้าใจสาเหตุการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ก็สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนไม่ว่าจะเป็นความเบิกบานยินดี หรือความโกรธ ได้ดีกว่าผู้ที่ไม่รู้
ศึกษาโดย New York Police Force
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม แนวคิดจิตแนวคิดใจ
ศึกษาโดย Martin Seligman
ได้สร้างการทดลองขึ้นมาเพื่อศึกษาและหา คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับ โดยเริ่มต้นแบ่งสุนัขออกเป็นสามกลุ่ม
สุนัขกลุ่มที่ 1 ถูกจับใส่ปลอกคอไว้เฉยๆ เมื่อเวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง สุนัขจะถูกถอดปลอกคอออกแล้วถูก ปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง
สุนัขกลุ่มที่ 2 ถูกจับใส่ปลอกคอเช่นกัน แต่สุนัขในกลุ่มนี้จะถูกช็อตด้วยไฟฟ้าร่วมด้วย หนทางเดียวที่จะ หยุดไฟฟ้าไม่ให้ช็อตคือต้องเอาเท้าไปกดคาน
สุนัขกลุ่มที่ 3 ทั้งถูกจับใส่ปลอกคอและโดนไฟฟ้าช็อตตลอดเวลา ที่สำคัญคือไม่มีทางที่จะหยุด กระแสไฟฟ้าได้ ไม่ว่าจะพยายามดิ้น สะบัดตัว หรือกระโดดก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยให้กระแสไฟฟ้าหยุดได้ เมื่อการทดลองขั้นแรกจบ มาร์ติน สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในสุนัขกลุ่มที่ 3 พวกมันดูเซื่องซึมอย่าง เห็นได้ชัด ผิดกับสุนัขสองกลุ่มแรกที่ยังดูปกติเหมือนเดิม
ต่อมามาร์ตินนำสุนัขทั้งหมดมาทดลองอีกครั้ง ในการทดลองครั้งที่ 2 นี้ สุนัขแต่ละตัวจะถูกจับใส่กล่อง ไม่ให้หนีไปไหนได้เหมือนกันทุกตัว โดยกล่องนี้จะแบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อตได้ อีกฝั่งเป็น พื้นที่ปลอดภัย ตรงกลางมีที่กั้น ซึ่งเตี้ยมากให้สุนัขทุกตัวกระโดดข้ามไปยังอีกฝั่งได้จากนั้นมาร์ตินจะเปิด หลอดไฟกะพริบเพื่อส่งสัญญาณให้สุนัขรู้ล่วงหน้าก่อนปล่อยกระแสไฟฟ้าลงที่พื้นในฝั่งที่สุนัขอยู่ ทำแบบนี้ซ้ำๆ เพราะมาร์ตินต้องการวางเงื่อนไขให้สุนัขเข้าใจว่าจะถูกช็อตหลังจากไฟกะพริบแสง เพื่อสังเกตพฤติกรรมและ วิธีการตอบสนองของสุนัขแต่ละกลุ่มจากการทดลองในครั้งแรก
ผลปรากฎว่า สุนัขกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 สามารถกระโดดข้ามฝั่งไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้สำเร็จ ซึ่งต่างจาก สุนัขกลุ่มที่ 3 แม้ว่าจะถูกกระแสไฟฟ้าช็อต แต่สุนัขกลุ่มที่ 3 กลับไม่สนใจ ไม่กระตือรือร้นที่จะหนีไปยังอีกฝั่ง แต่ ละตัวยอมนอนแน่นิ่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้โดนไฟฟ้าช็อตต่อไปเรื่อยๆเหมือนความหวังที่จะทำให้ตัวมันรอดพ้นจาก สถานการณ์อันตรายได้เลือนหายไปจากชีวิตจนหมดสิ้น เพราะประสบการณ์ของการเป็นฝ่ายถูกกระทำทำให้มันเรียนรู้ว่าชีวิตคงอับ จนปัญญาและหนทางเลือกอื่นๆ
ศึกษาโดยJane Elliott
ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจาก Martin Luther King JR ได้ทำการทดลองกับนักเรียน
grade 3 โดยได้แบ่งกลุ่มการทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่มีนักเรียนตาสีฟ้าซึ่งเป็นนักเรียนกลุ่มใหญ่ ได้รับการปฏิบัติต่อกลุ่มนี้อย่างดี มีการดูแลเอาใจใส่และให้สวัสดิการอย่างเต็มที่
กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มนักเรียนตาสีน้ำตาลซึ่งเป็นนักเรียนกลุ่มน้อย ถูกปล่อยปละละเลย ดูแลแบบทิ้งๆขว้างๆ ปฏิบัติต่อนักเรียนกลุ่มนี้ในทางที่
ทำให้เกิดความเครียด และอารมณ์ในเชิงลบ
ผลจากการทดลองในครั้งแรกคือนักเรียนกลุ่มตาสีฟ้าก็มีพฤติกรรมที่ชอบกลั่นแกล้งกลุ่มนักเรียนตาสี น้ำตาลซึ่งถูกหล่อหลอมให้มีความเชื่อมั่นในตนเองน้อยแต่หลังจากนั้นอีกก็ได้มีการทดลองแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งโดยที่ให้กลุ่มแรกเป็นกลุ่มนักเรียนตาสีน้ำตาลซึ่งเป็นนักเรียนกลุ่มใหญ่และปฏิบัติกับนักเรียนกลุ่มนี้
อย่างดีคอยดูแลเอาใจใส่ซึ่งตรงกันข้ามกับนักเรียนกลุ่มตาสีฟ้าซึ่งเป็นกลุ่มน้อยและถูกปฏิบัติเหมือนกับ
นักเรียนกลุ่มตาสีน้ำตาลในครั้งแรกผลต่อมาก็คือนักเรียนกลุ่มตาสีน้ำตาลก็ได้แสดงพฤติกรรมชอบกลั่น
แกล้งนักเรียนกลุ่มตาสีฟ้า บทสรุปจากการทดลอง นักเรียนใน grade 3 ก็ได้บทสรุปมาว่าเราไม่ควรที่จะตัดสินหรือมีการเหยียดกันในเรื่องของชาติกำเนิดหรือสีผิวก็ตาม
ศึกษาโดย Philip Zimbardo
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม มงคล
ศึกษาโดย Walter Mischel
มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดโดยผู้ที่เป็นกลุ่มทดลองก็คือเด็กก่อนอนุบาลที่โรงเรียนเด็กเล็กของมหาวิทยาลัย เด็ก ๆ ที่เข้ารับการทดสอบจะได้รับโอกาสที่จะเลือกว่าจะได้รางวัล 1 ชิ้น (ตัวอย่างเช่น แมร์ชแมลโลว ซึ่งเป็นขนมหวานที่เด็กมักจะชอบกินมาก) ซึ่งเขาจะได้รับทันที หรือรางวัลที่ใหญ่ขึ้น (แมร์ชแมลโลว 2 ชิ้น) แต่เขาจะต้องรอในระยะเวลาไม่เกิน 20 นาที เด็ก ๆ จะมีโอกาสเลือกว่าเขาอยากได้อะไรที่สุด
เช่น คุกกี้ เพรสเซล หรือลูกอม เป็นต้น
วิธีการทดลองนี้ทำกับเด็กหญิง เอม ซึ่งเธอจะต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องคนเดียว ข้างหน้าของหนูน้อยจะ
มีแมร์ชแมลโลว1 ชิ้นอยู่ทางมุมหนึ่งที่เอมีจะสามารถกินได้ทันที และแมร์ชแมลโลว 2 ชิ้นอยู่อีกมุมหนึ่งที่เธอจะได้กินถ้ารอ ข้าง ๆ โต๊ะจะมีกริ่งที่เอมีจะสามารถกดเรียกนักวิจัยกลับเข้ามาทันทีถ้าเธอต้องการกินแมร์ชแมลโลว 1 ชิ้น หรือถ้าเอมีรอจนกระทั่งนักวิจัยกลับเข้ามาเองภายในระยะเวลาไม่เกิน 20 นาที เธอก็จะได้กิน 2 ชิ้น ห้องที่ใช้ทดลองนี้จะมีกระจกทึบที่มองเข้ามาได้จากภายนอกที่นักวิจัยจะสามารถสังเกตอากัปกริยาของเด็กได้ตลอดเวลา พวกเขาจะเห็นว่าเด็กที่นั่งรออยู่นั้นทำอย่างไรที่จะพยายามอดกลั้นยับยั้งจิตใจไม่ให้กดกริ่งเพื่อที่จะได้กินแมร์ชแมลโลวมากขึ้น
ผลของการทดลองที่เกิดขึ้น
เด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถรอที่จะกินแมร์ชแมลโลว 2 ชิ้นได้ บางคนนั้น นักวิจัยยังไม่ทันก้าวพ้นประตูเด็กก็กดกริ่งแล้วเพราะต้องการกินขนมหวานทันที ความพยายามของเด็กบางคนที่จะอดกลั้นยับยั้งการกดกริ่งนั้น บางทีทำให้นักวิจัยแทบจะ “น้ำตาไหล” เพราะรู้สึกสงสารเด็ก วิธีการที่เด็กแต่ละคนใช้ในการ
“สะกดใจ” ตนเองไม่ให้อยากกินแมร์ชแมลโลวทันทีนั้นหลากหลายมากและพวกเขาแสดงออกทางอาการต่าง ๆ เช่น อาจจะปิดตา เอนไปข้างหลัง เบือนหน้าหนีหรือกอดอก รวมถึง จินตนาการว่าแมร์ชแมลโลวนั้นเหมือนปุยเมฆที่ “กินไม่ได้” เป็นต้น
สิ่งที่เด็กเล็กอายุแค่ 4-5 ขวบทำในขณะที่พวกเขารอและวิธีการที่พวกเขาจัดการหรือไม่จัดการที่จะชะลอความพึงพอใจที่จะได้รับนั้น โดยที่ไม่คาดคิด กลายเป็นสิ่งที่กำหนดหรือพยากรณ์ชีวิตในอนาคตของพวกเขา แต่ละนาทีที่พวกเขารอได้นั้น สะท้อนออกมาเป็นคะแนนสอบ SAT ซึ่งมหาวิทยาลัยใช้ในการรับเด็กเข้าเอนทร้านซ์ที่สูงขึ้น วินาทีในการรอที่มากขึ้นสะท้อนถึงความสามารถในการเข้าสังคมและการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ที่ดีขึ้นเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่อายุ 27-32 ปี ซึ่งนักวิจัยได้ติดตามเด็กเหล่านั้นพบว่า เด็กที่สามารถรอได้นานกว่าในการทดสอบแมร์ชแมลโลวมีดัชนีมวลกายที่ดีกว่า
คนที่ได้คะแนนที่แย่กว่า พวกเขายังมีความรู้สึกที่ดีกับตนเองมากกว่าและสามารถปรับตัวเพื่อรับกับความเครียดต่าง ๆ ในชีวิตได้ดีกว่า จากการสแกนสมองของพวกเขาพบว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจนในส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับการ “ติด” สิ่งต่าง ๆ และความอ้วนสำหรับคนที่ได้คะแนนการทดสอบต่างกัน
ศึกษาโดย John Darley and Daniel Batson
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม โควิดจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
ศึกษาโดย Elizabeth Loftus and John Palmer
มีจุดมุ่งหมายเพื่อทดสอบสมมติฐานที่ว่าภาษาที่ใช้ในคำให้การจากความจำของพยานสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งที่จะแสดงให้เห็นว่าคำถามที่ชี้นำสามารถบิดเบือนเรื่องราวของพยานผู้ เห็นเหตุการณ์ได้และทำให้เกิดผลที่ไม่ดี เนื่องจากเรื่องราวจะผิดเพี้ยนโดยมีเหตุจากความหมายชี้นำในคำถาม
ในการทดลองของ Loftus และ Palmer (1974) นี้ขอให้ผู้คนประเมินความเร็วของยานยนต์โดยใช้คำถามรูปแบบต่างๆ การประมาณความเร็วของยานพาหนะเป็นสิ่งที่ผู้คนทำได้ไม่ค่อยดีและอาจเปิดรับการชี้นำได้มากกว่า และมีการทดลองสองครั้งที่แตกต่างกันทั้งสองการทดสอบสมมติฐานเดียวกัน
ในการทดลองมีนักเรียนอเมริกัน 45 คนเป็นผู้รับการทดลอง และเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการที่มี 5 เงื่อนไข ให้เลือกซึ่งผู้เข้าร่วมแต่ละคนจะได้รับเพียงหนึ่งเงื่อนไขเท่านั้น โดยผู้เข้าร่วมการทดลองแต่ละคนจะได้ดูคลิปเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจร 7 เรื่องซึ่งมีความยาวตั้งแต่ 5 ถึง 30 วินาที หลังจากชมคลิปผู้เข้าร่วมจะต้องอธิบายสิ่งที่เห็น พวกเขาแต่ละคนจะถูกถามคำถามเฉพาะชุดด้วยถ้อยคำที่รอบคอบ คำถามหลักที่มุ่งเน้นคือ
“ รถวิ่งเร็วแค่ไหนเมื่อพวกเขา ______ กัน” ช่องว่าง หมายถึง ตำแหน่งที่จะวางเงื่อนไขหนึ่งในห้าเงื่อนไข ผู้เข้าร่วมแต่ละคนถูกถามคำถามนั้นแต่คำกริยาที่หายไปอาจเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
smashed, collided, bumped, hit, contacted ซึ่งมีระดับการชนที่แตกต่างกัน การมีเงื่อนไขเช่นนี้ทำขึ้นเพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงคำกริยามีผลต่อความเร็วที่ผู้เข้าร่วมตอบหรือไม่
ผลการวิจัยพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมที่ถูกถามคำถามด้วยกริยา “smashed” รายงานว่ารถเร็วกว่าผู้เข้าร่วมที่ถูกถามด้วยกริยา “hit” โดยผู้เข้าร่วมในเงื่อนไข "smashed" รายงานความเร็วสูงสุดโดยประมาณ (40.8 ไมล์ต่อชั่วโมง) ตามด้วย "collided" (39.3 ไมล์ต่อชั่วโมง) "bumped" (38.1 ไมล์ต่อชั่วโมง) "hit" (34 ไมล์ต่อชั่วโมง) และ "contacted" (31.8 mph) ตามลำดับจากมากไปหาน้อย
ผลปรากฏว่าคำกริยานั้นสื่อถึงความเร็วที่รถกำลังเดินทางและสิ่งนี้เปลี่ยนการรับรู้ของผู้เข้าร่วม กล่าวอีกนัยหนึ่งคำให้การของพยานอาจมีอคติกับวิธีการถามคำถามหลังจากก่ออาชญากรรม Loftus และ Palmer เสนอคำอธิบายที่เป็นไปได้สองประการสำหรับผลลัพธ์นี้ คือ
1.ปัจจัยการตอบสนอง - อคติ ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดอาจมีอิทธิพลต่อคำตอบของบุคคล แต่ไม่ได้นำไปสู่ความทรงจำที่ผิดพลาดของเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่นการประมาณความเร็วที่แตกต่างกันเกิดขึ้นเนื่องจากคำที่สำคัญ (เช่น "smashed" หรือ "hit") มีอิทธิพลหรือมีอคติต่อการตอบสนองของบุคคล
2. การแสดงความจำมีการเปลี่ยนแปลง คำกริยาที่สำคัญเปลี่ยนการรับรู้ของบุคคลเกี่ยวกับอุบัติเหตุ คำที่สำคัญบางคำอาจทำให้คนบางคนรับรู้ว่าอุบัติเหตุนั้นร้ายแรงมากขึ้น จากนั้นการรับรู้นี้จะถูกเก็บไว้ในความทรงจำของบุคคลเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
หากคำอธิบายที่สองเป็นจริง ก็คาดว่าผู้เข้าร่วมจะจดจำรายละเอียดอื่น ๆ ที่ไม่เป็นความจริงด้วย Loftus และ Palmer จึงทดสอบสิ่งนี้ในการทดลองครั้งที่สอง
มีนักเรียน 150 คนได้ดูวิดีโอเกี่ยวกับรถยนต์ที่ขับไปตามชนบทจากนั้นในช่วงสี่วินาทีที่ผ่านไปวิดีโอดังกล่าวแสดงให้เห็นอุบัติเหตุทางรถยนต์หลายครั้ง หลังจากดูวิดีโอนักเรียนถูกถามคำถามเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ นักเรียน 50 คนถูกถามว่า“ รถวิ่งเร็วแค่ไหนเมื่อชน (hit) กัน” อีก 50 คนถูกถามคำถามเดียวกัน แต่คำกริยาถูกแทนที่ด้วย“smashed” คล้ายกับการทดลองที่1 และนักเรียนอีก 50 คนไม่ได้ถามคำถามใด ๆ เพื่อใช้เป็นกลุ่มควบคุม
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นนักเรียนถูกขอให้กลับและถูกถามว่าพวกเขาเห็นกระจกแตกในที่เกิดเหตุหรือไม่ ผลการศึกษาพบว่านักเรียนที่ถามคำถามโดยใช้กริยา " smashed " รายงานว่ากระจกแตกเป็นสองเท่าของนักเรียนที่ถูกถามด้วยกริยา "hit" กลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ถามคำถามใด ๆ รายงานว่ากระจกแตกเช่นเดียวกับกลุ่มที่ถูกถามด้วยคำกริยา "hit" ซึ่งจริงๆแล้วในคลิปไม่มีกระจกแตกใดๆ และนี่คือตารางผลลัพธ์ที่ได้
การวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าหน่วยความจำจะผิดเพี้ยนได้ง่าย ๆ โดยเทคนิคการตั้งคำถามและข้อมูลที่ได้มาหลังจากเหตุการณ์สามารถผสานกับหน่วยความจำดั้งเดิมที่ทำให้เกิดการเรียกคืนที่ไม่ถูกต้องหรือ reconstructive memory ผลจากการทดลองที่สองชี้ให้เห็นว่าผลกระทบนี้ไม่ได้เกิดจากแค่อคติในการตอบสนองเท่านั้นเพราะคำถามที่ชี้นำก็เปลี่ยนแปลงความทรงจำที่ผู้เข้าร่วมมีต่อเหตุการณ์ การเพิ่มรายละเอียดเท็จลงในความทรงจำของเหตุการณ์เรียกว่า confabulation สิ่งนี้มีสำคัญสำหรับคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์พยานของตำรวจ
อย่างไรก็ตามข้อจำกัดประการหนึ่งของการวิจัยคือการขาดความสมจริงทางโลกและความถูกต้องของระบบนิเวศในการทดลองที่
ผู้เข้าร่วมดูคลิปวิดีโอมากกว่าที่จะนำเสนอเป็นอุบัติเหตุในชีวิตจริง เนื่องจากคลิปวิดีโอไม่มีผลกระทบทางอารมณ์เช่นเดียวกับการพบเห็นอุบัติเหตุในชีวิตจริงผู้เข้าร่วมจึงมีโอกาสน้อยที่จะให้ความสน ใจและมีแรงจูงใจน้อยกว่าจะมีความแม่นยำในการตัดสิน
ศึกษาโดย Lee Ross
ได้ทำการทดลองโดยมุ่งเน้นไปที่วิธีการที่ผู้คนสามารถสรุปได้อย่างไม่ถูกต้องว่าคนอื่นคิดแบบเดียวกันหรือสร้าง "ความเข้าใจร่วมกันที่ผิด ๆ " เกี่ยวกับ ความเชื่อและความชอบของผู้อื่น Ross ได้ทำการศึกษาเพื่อสรุปว่า
“ผลของความเห็นสอดคล้องกันที่ผิดพลาด” ทำงานอย่างไรในมนุษย์
ในส่วนแรกของการศึกษาขอให้ผู้เข้าร่วมอ่านเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดความขัดแย้ง จากนั้นจะได้รับการบอกทางเลือกสองวิธีในการตอบสนองต่อสถานการณ์ พวกเขาถูกขอให้ทำ3สิ่งคือ
1) เดาว่าคนอื่นจะเลือกตัวเลือกใด
2) บอกว่าพวกเขาจะเลือกตัวเลือกใด
3) อธิบายคุณลักษณะของบุคคลที่น่าจะเลือกแต่ละตัวเลือกทั้งสองตัวเลือก
สิ่งที่ศึกษาแสดงให้เห็นว่าอาสาสมัครส่วนใหญ่เชื่อว่าคนอื่นจะทำเช่นเดียวกับพวกเขาโดยไม่คำนึงถึง
คำตอบที่พวกเขาเลือกเอง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าผลของความเห็นสอดคล้องกันที่ผิดพลาด ซึ่งแต่ละคนคิดว่าคนอื่นคิดแบบเดียวกับที่พวกเขาทำ ข้อสังเกต ประการที่สอง ที่ มาจากการศึกษาที่สำคัญนี้คือเมื่อผู้เข้าร่วมถูกขอให้อธิบายคุณลักษณะของผู้คนที่มีแนวโน้มจะเลือกตรงข้ามกับตนเองพวกเขาได้ทำการคาดการณ์อย่างมั่นใจและบางครั้งก็เป็นไปในเชิงลบเกี่ยวกับบุคลิกของผู้ที่ไม่ได้เลือกตรงกับเขา และผู้คนมีแนวโน้มที่จะเลือกมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นที่มีความเห็น
ไปในทิศทางเดียวกับตนเอง ผู้คนเหล่านี้จะได้รับรู้ได้เห็นอะไรต่ออะไรที่สนับสนุนมุมมองของตนเอง
มากกว่าข้อมูลที่เห็นแย้ง
ศึกษาโดย Edward Thorndike
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม Success
ศึกษาโดย Daniel Simons and Christopher Chabris
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองได้จากกลุ่ม Workaholic