Introducing 

Prezi AI.

Your new presentation assistant.

Refine, enhance, and tailor your content, source relevant images, and edit visuals quicker than ever before.

Loading content…
Loading…
Transcript

ซึ่งได้นำแนวคิดของทฤษฏีนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆพยายามทำ ความเข้าใจโดยมองปัญหาทุกแง่ทุกมุมไม่มองปัญหาโดยมีอคติและใช้ ความคิดอย่างมีเหตุมีผลในการแก้ปัญหามองเด็กนักเรียนในภาพรวม ( The Whole Person ) ไม่มองในด้านใด ด้านหนึ่ง ซึ่งเด็กแต่ละคนนั้น ต่างมีความชอบ พื้นฐานความรู้ต่างกัน ดังนั้นเราจึงแก้แต่ละปัญหาโดย

ปัญหาที่

  • 1.ผู้เป็นครูมีการสร้างปฎิสัมพันธ์กับเด็กก่อนพยายามทำให้เด็กเกิดความรู้สึกอยากเรียนเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้แสดงออกเพื่อให้นักเรียนมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าที่จะคิดจะทำ
  • 2.ครูรวมถึงนักศึกษาภายในกลุ่มช่วยกันสร้างความมั่นใจให้กับนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความมั่นใจในการเรียนการทดลองมีการกระตุ้นให้เด็กอยากรู้ ว่าทำการทดลองนี้ น่าจะเกิดผลเช่นไร แล้วเหตุใดจึงเกิดเช่นนั้น
  • 3.ครูต้องคำนึกถึงความแตกต่างระหว่างนักเรียนแต่ละคนโดยครูต้อง ใจเย็นการจักการเรียนการสอนมองเขาในภาพรวมคือการศึกษา คุณลักษณะต่างๆของบุคคลกับความมีเหตุผลไม่ตัดสินความดีความชั่ว ของบุคคล โดยมองด้านใดด้านหนึ่งของเขาเท่านั้น

ทฤษฎีการกลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt ‘s Theory)

ขั้นสรุปผล

  • จากการดำเนินงานจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยนำเอาทฤษฎี การเรียนรู้กลุ่มเกสตัลส์มาประยุกต์ใช้จัดเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ ปฎิบัติจริง ลงมือทำเอง ซึ่งก่อนการสอนนักศึกษาที่เป็นครูจะมี การเกริ่นให้ผู้เรียนมองเห็นโครงสร้างทั้งหมดของเรื่องที่จะสอนก่อน เพื่อให้เด็กเกิดการรับรู้ เป็นส่วนรวม ว่าวันนี้ เราจะมาทำอะไรมีกี่การ ทดลอง
  • แล้วจึงแยกส่วนออกมาสอนเป็นตอนๆเน้นให้ผู้เรียน เรียนด้วยความ เข้าใจมากกว่าเน้นการเรียน แบบท่องจำ ต้องเรียนด้วยการปฏิบัติจริง หรือผู้เรียนลงมือกระทำเอง ( Learning by Doing ) โดยฝึกให้ ผู้เรียนสามารถโยงความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ที่เรียนไปแล้วกับ ความรู้ใหม่ว่ามีความแตกต่างและคล้ายคลึงกันอย่างไรเพื่อช่วยให้จำได้นาน จากการทำกิจกรรม พบปัญหาดังนี้

1. แรกนักเรียนจะไม่กล้าแสดงออกไม่กล้า ถาม เนื่องจากไม่คุ้นชินกับผู้สอนทำให้เรา ไม่ทราบว่าเด็กแต่ละคนเข้าใจในเนื้อหามากแค่ไหนแล้วมีพื้นฐานความรู้ประมาณใด

2. นักเรียนยังกลัวว่าหากทำไปแล้วจะผิด รวมถึงนักเรียนมีความรู้สึกเกร็งในการทำการทดลอง

3. นักเรียนแต่ละคนมีความรู้และความ สามารถพื้นฐานไม่เท่ากัน

สถานที่ทำกิจกรรม

โรงเรียนวัดศรีดอนชัย ต.บ้านธิ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน 51180

วันที่ทำกิจกรรม 31 มีนาคม 2559

กระบวนการแก้ปัญหาของลิงชิมแพนซี

1. วิธีการแก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นจะเกิดขึ้นทันที ทันใด เหมือนความกระจ่างแจ้งในใจ

2. การเรียนรู้การหยั่งเห็นเป็นการที่ผู้เรียนมอง เห็น รับรู้ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ ไม่ใช่เป็น การตอบสนองของสิ่งเร้าเพียงอย่างเดียวกระบวนการแก้ปัญหาของลิงชิมแพนซี

3. ความรู้เดิมของผู้เรียน ประสบการณ์ของผู้เรียน มีส่วนที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการหยั่งเห็นในเหตุ-การณ์ที่ประกอบขึ้นเป็นปัญหาและช่วยให้การหยั่งเห็นเกิดขึ้นเร็ว

2. การหยั่งเห็น (Insight) หมายถึง การเกิด ความคิดแวบขึ้นมาทันทีทันใดใน ขณะที่ประสบปัญหาโดยมองเห็นแนวทางใน การแก้ปัญหาตั้งแต่เริ่มแรกเป็นขั้นตอนจน สามารถแก้ปัญหาได้เป็นการมองเห็นสถานการณ์ในแนวทางใหม่ ๆขึ้นโดยเกิดจากความ เข้าใจ และความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์ว่าได้ ยินได้ค้นพบแล้วผู้เรียนจะมองเห็นช่องทางการแก้ปัญหาขึ้นได้ในทันที ทันใด

-การทดลองกลุ่มเกสตัลท์เพื่อที่จะได้เข้าใจ วิธีการแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้เกี่ยวกับการ เรียนรู้ด้วย

1.1 กฎแห่งความชัดเจน (Clearness) การเรียนรู้ที่ดีต้องมีความชัดเจนและแน่นอน เพราะผู้เรียนมีประสบการณ์เดิมแตกต่างกัน

1.2 กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity) เป็นการวางหลักการรับรู้ในสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพื่อจะได้รู้ว่าสามารถจัดเข้ากลุ่มเดียวกัน

  • การทดลองที่แสดงการหยั่งเห็นในการเรียนรู้โคลเลอร์ ได้ทดลองโดยการขังลิงชิมแพนซีตัวหนึ่งไว้ในกรงที่ใหญ่พอที่ลิงจะอยู่ได้ภายในกรงมีไม้หลายท่อนมีลักษณะสั้นยาวต่างกันวางอยู่ นอกกรงเขาได้แขวนกล้วยไว้หวีหนึ่ง เกินกว่าที่ลิงจะเอื้อมหยิบได้ การใช้ท่อนไม้เหล่านั้น บางท่อน ก็สั้นเกินไปสอยกล้วยไม่ถึงเหมือนกัน มีบางท่อนยาวพอที่จะสอยกินกล้วยได้
  • การทดลองที่แสดงการหยั่งเห็นในการเรียนรู้ในขั้น แรก ลิงซิมแพนซีพยายามใช้มือเอื้อมหยิบกล้วยแต่ไม่สำเร็จ แม้ว่าจะได้ลองทำหลายครั้งเป็นเวลานานมันก็หันไปมอง รอบๆกรง เขย่ากรง ส่งเสียงร้อง และปีนป่าย แต่เมื่อไม่ได้ผล มันจึงหันมาลองจับไม้เล่น ใช้ไม้นั้นสอย กล้วยแต่ก็ไม่ได้ผลมันจึงหันมาลองจับไม้อันอื่นเล่นและ ใช้ไม้นั้นสอยกล้วยการกระทำเกิดขึ้นเร็วและสมบูรณ์ไม่ ได้ค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆในที่สุดมันก็สามารถใช้ไม้ สอยกล้วยมากินได้

1.3 กฎแห่งความใกล้ชิด (Law of Proximity) เป็นการกล่างถึงว่าถ้าสิ่งใดหรือสถานการณ์ใดที่มีความใกล้ชิดกัน ผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะรับรู้สิ่งนั้นไว้แบบเดียวกัน

วิธีการที่ลิงใช้แก้ปัญหานี้ โคล์เลอร์เรียกพฤติกรรมนี้ว่า เป็น การหยั่งเห็น เป็นการมอง เห็นช่องทางในการแก้ปัญหา โดยลิงชิมแพนซีได้มีการรับรู้ ในความสัมพันธ์ระหว่างไม้สอย กล้วยที่แขวนอยู่ข้างนอก กรงและสามารถใช้ไม้นั้นสอย กล้วยได้เป็นการนำไปสู่เป้าหมาย

1.4 กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of Continuity) สิ่งเร้าที่มีทิศทางในแนวเดียวกัน ซึ่งผู้เรียนจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน

1.5 กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of Closer) สิ่งเร้าที่ขาดหายไปผู้เรียนสามารถรับรู้ให้เป็นภาพสมบูรณ์ได้โดยอาศัยประสบการณ์เดิม

กฎการเรียนรู้

หลักการเรียนรู้ของทฤษฎีกลุ่มเกสตัลท์เน้นการเรียนรู้ที่ส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยซึ่งจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์และการเรียนรู้ เกิดขึ้นจาก 2 ลักษณะคือ

1. การรับรู้ (Perception) เป็นการแปรความหมายจากการสัมผัสด้วยอวัยวะสัมผัสทั้ง 5 ส่วนคือหู ตา จมูก ลิ้นและผิวหนัง การรับรู้ทางสายตาจะประมาณร้อยละ 75 ของการรับรู้ทั้งหมด ดังนั้นกลุ่มของเกสตัลท์จึงจัดระเบียบการรับรู้โดยแบ่งเป็นกฎ 4 ข้อ เรียกว่า กฎแห่งการจัดระเบียบ

ทฤษฎีการกลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt ‘s Theory)

ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์เกิดจากนักจิตวิทยาชาวเยอรมันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912 ทั้งกลุ่มมีแนวความคิดว่าการเรียนรู้เกิดจากการจัดประสบการณ์ ทั้งหลายที่อยู่กระจัดกระจายให้มารวมกันเสียก่อนแล้วจึงพิจารณาส่วนย่อย

ต่อไป

Learn more about creating dynamic, engaging presentations with Prezi